แม่ๆ รู้หรือไม่ว่าการตรวจฮอร์โมนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว โดยแพทย์จะต้องตรวจฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าวเพื่อประเมินความสำเร็จในการรักษาเบื้องต้น ว่าแต่มีฮอร์โมนอะไรบ้างครูก้อยจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
ทำไมถึงต้องตรวจฮอร์โมนก่อนทำ ICSI
ฮอร์โมนในร่างกายมีหลายชนิด แต่ฮอร์โมนที่สำคัญสำหรับกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วคือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณแม่คนไหนที่ต้องการมีบุตรก็ควรตรวจฮอร์โมนเพื่อให้แพทย์นำผลมาใช้ในการพิจารณาและเลือกวิธีการรักษา, ให้ยา รวมถึงประเมินความสำเร็จในการรักษาเบื้องต้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่บางคนมีค่า FSH สูงเกิน 10 แสดงว่ามีภาวะรังไข่เสื่อม หรือเข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร ส่งผลให้ไข่ด้อยคุณภาพ, มีไข่น้อย, ปลายกิ่งปลายก้านและรังไข่เริ่มไม่ผลิตไข่แล้ว หรือบางคนมีค่า AMH ต่ำมาก (น้อยกว่า 1) แสดงว่าคุณแม่แทบจะไม่มีไข่สำรองอยู่ในรังไข่เลย ดังนั้นคุณแม่จึงคาดหวังไม่ได้ว่า หากกระตุ้นไข่แล้วได้ไข่ประมาณ 15-20 ใบเหมือนคนอื่น ดังนั้นคุณแม่ที่มี AMH ต่ำ จะต้องทำความเข้าใจและยอมรับผลตามพื้นฐานฮอร์โมนของตัวเองด้วย
ช่วงเวลาสำหรับตรวจฮอร์โมน
วันนี้ครูก้อยจะมาพูดถึงประสบการณ์การตรวจฮอร์โมนก่อนทำ ICSI จากตัวครูก้อยเอง โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่
1. ตรวจช่วงไหนก็ได้ ไม่ต้องรอมีประจำเดือน
ตรวจฮอร์โมนไทรอยด์ (TSH) เป็นอันดับแรก ควรมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.5-5 แต่ถ้าได้ผล 15-20 ขึ้นมา ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เพราะถ้าร่างกายมีฮอร์โมนชนิดนี้สูงเกินไป จะส่งผลให้ขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน
ตรวจฮอร์โมน Prolactin หรือฮอร์โมนน้ำนม ควรมีค่ามาตรฐานน้อยกว่า 15-20 หากมีฮอร์โมนสูงเกินไปอาจไปยับยั้งวงจรการตกไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก
ตรวจฮอร์โมน Anti-Mullerian Hormone (AMH) เป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกว่ามีไข่หรือไม่ หากมีค่ามากกว่า 1 แสดงว่ามีไข่ (ค่ายิ่งมากยิ่งมีไข่มาก) แต่หากมีค่า AMH มากกว่า 6 แสดงว่าอยู่ในภาวะ OHSS หรือภาวะรังไข่กระตุ้นมากเกินไป ส่วนใครที่มีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่ามีไข่น้อยหรืออาจไม่มีเลย
2. ตรวจช่วงมีประจำเดือนวันที่ 1-3
ตรวจฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) เป็นฮอร์โมนสำหรับบอกการทำงานของรังไข่ว่ารังไข่เสื่อมไหม เข้าวัยทองหรือยัง โดยค่ามาตรฐานของ FSH จะต้องไม่เกิน 10
ตรวจฮอร์โมน E2 (Estradiol) เป็นออร์โมนเพศหญิง มีค่ามาตรฐานไม่ควรเกิน 50 (ในช่วง day 1-3)
ตรวจฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) เป็นฮอร์โมนไข่ตก ไม่ควรมีค่ามาตรฐานเกิน 6 (ในช่วง day1-3)
3. ตรวจช่วงหลังไข่ตก (ช่วง Luteal phase)
หรือประมาณ Day 12-14 ของรอบเดือนก่อนใส่ตัวอ่อน โดยการตรวจเลือดหาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะช่วยประเมินคุณแม่ที่เคยมีปัญหาตั้งครรภ์ยากด้วยการดูว่าผนังมดลูกบางหรือไม่ ทั้งนี้จะมีค่าโปรเจสเตอโรนแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
วันแรกที่มีประจำเดือนจนถึงวันก่อนไข่ตก (Follicular phase) มีค่าฮอร์โมนอยู่ที่ 0.2 – 1.5 ng/ml
วันไข่ตก (Ovulatory phase) มีค่าฮอร์โมนอยู่ที่ 0.8 – 3.0 ng/ml
หลังวันไข่ตกจนถึงวันก่อนมีประจำเดือนรอบถัดไป (Luteal phase) มีค่าฮอร์โมนอยู่ที่ 1.7 – 27 ng/ml
Comments