รู้ไหมคะว่าน้ำมันที่เราทานเข้าไป มีทั้งชนิดดีและชนิดไม่ดีค่ะ หากรับประทานน้ำมันชนิดไม่ดีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป นอกจากจะเพิ่มน้ำหนักตัวจนเกินมาตรฐานแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาว หรืออาจส่งผลให้แม่ ๆ หลายคนมีลูกยากขึ้น ดังนั้นการเลือกรับประทานน้ำมันชนิดดีจะช่วยบำรุงสุขภาพให้ร่างกายของแม่ ๆ พร้อมต่อการมีน้องด้วย และวันนี้ครูก้อยมี 9 น้ำมันดีมาแนะนำ ว่าแต่จะมีน้ำมันอะไรบ้าง มาอ่านไปด้วยกันเลยค่ะ
1.น้ำมันดอกทานตะวัน (Sunflower oil)
สำหรับน้ำมันชนิดแรกที่ครูก้อยไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ น้ำมันดอกทานตะวัน อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน หรือ Polyunsaturated fatty acid (PUFAs) มากกว่า 60% และมีสารประกอบสำคัญ ได้แก่
กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคอัลไซเมอร์, โรคจอประสาทตาเสื่อม และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการแท้งลูกได้มากยิ่งขึ้น
กรดไขมันโอเมก้า 6 ช่วยรักษาสมดุลการทำงานของโอเมก้า 3 ช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ติดเชื้อยากขึ้น และช่วยเพิ่มคุณภาพของเซลล์ไข่เพศหญิงให้พร้อมต่อการปฏิสนธิ
โฟเลต (วิตามิน B9) เป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง อีกทั้งกระตุ้นให้ร่างกายปฏิสนธิง่ายขึ้น
สังกะสี เป็นสารที่ช่วยป้องกันความผิดปกติจากระบบการทำงานของรังไข่ การผลิตไข่ และการพัฒนาเติบโตของเซลล์ไข่ในระยะเริ่มต้น
น้ำมันดอกทานตะวันมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์โดยรวมของคุณพ่อ ช่วยให้น้ำอสุจิมีคุณภาพและเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิให้ง่ายขึ้น ในส่วนของคุณแม่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุโพรงมดลูก ควบคุมระดับฮอร์โมนด้วยการรักษาสมดุลระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้คุณแม่มีโอกาสแท้งลูกน้อยกว่าคุณแม่ที่ไม่ได้ทานน้ำมันดอกทานตะวัน รวมถึงป้องกันประจำเดือนมาไม่ปกติและภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร อันเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากันนั่นเองค่ะ
2.น้ำมันกระเทียม (Garlic oil)
อุดมด้วยกำมะถันที่ช่วยเพิ่มระดับของกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย กลูตาไธโอนเชื่อมโยงกับภาวะเจริญพันธุ์ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีหน้าที่เพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ สำหรับผู้ชาย น้ำมันกระเทียมจะช่วยเพิ่มคุณภาพของตัวอสุจิ ทำให้อสุจิสามารถเคลื่อนตัวไปยังไข่ง่ายขึ้น สำหรับผู้หญิงจะช่วยเพิ่มคุณภาพของไข่ กระตุ้นการตกไข่ อีกทั้งบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วยค่ะ
3.น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed oil)
อุดมไปด้วยสารลิกแนน (Lignans) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในพืชชนิดอื่นมากถึง 75 เท่า เนื่องจากลิกแนนออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ กรณีของผู้ชาย น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์จะช่วยให้ร่างกายผลิตอสุจิในปริมาณมากขึ้น และตัวอสุจิเองก็มีคุณภาพมากขึ้นตามด้วย สำหรับผู้หญิงนั้นจะเพิ่มคุณภาพของไข่ อีกทั้งเพิ่มโอกาสที่ไข่จะไปปฏิสนธิและก่อตัวเต็มที่ รวมถึงลดระดับการอักเสบในร่างกายให้ต่ำลง เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น ร่างกายของคุณแม่จึงพร้อมต่อการมีลูกมากขึ้นด้วยค่ะ
4.น้ำมันฟักข้าว (Gac oil)
อุดมไปด้วยวิตามิน A ที่ช่วยเสริมกระบวนการสร้างโมเลกุลโปรตีนที่ผลิตโดยร่างกาย หากร่างกายของแม่ ๆ ขาดวิตามินเอไป อาจทำให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ของเซลล์ ทั้งในด้านการผลิตสเปิร์มและไข่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอวัยวะเพศ เช่น ท่อนำอสุจิ, ต่อมลูกหมาก, มดลูก, รังไข่ เป็นต้น สำหรับคุณผู้ชาย น้ำมันฟักข้าวช่วยเพิ่มคุณภาพน้ำอสุจิให้มีชีวิตชีวาและช่วยให้การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิดีขึ้น ส่งผลให้อสุจิว่ายไปยังไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังอวัยวะสืบพันธุ์และเร่งกระบวนการผลิตสเปิร์ม สำหรับคุณผู้หญิงนั้นจะช่วยลดอัตราการแท้งบุตร หรือคลอดก่อนกำหนด และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ยังมีสารไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก อันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณผู้ชายหลายคนกลายเป็นหมัน อีกทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเจริญพันธุ์ เพิ่มปริมาณอสุจิได้มากถึง 70% ทำให้อสุจิเคลื่อนตัวไปหาไข่ได้เร็วขึ้น แถมยังช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัยไปในตัวด้วยนะคะ
5.น้ำมันอะโวคาโด (Avocado oil)
อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFAs) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นที่ไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากนี้ยังมีโฟเลต ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปฏิสนธิง่ายขึ้น, มีโพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บรรเทาอาการบวมตามแขนขาระหว่างตั้งครรภ์, มีวิตามิน A ช่วยบำรุงไข่ให้แข็งแรง พร้อมต่อการตั้งครรภ์, มีไฟเบอร์ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสมีลูกให้ง่ายขึ้น อีกทั้งลดการอักเสบและปรับปรุงการทำงานของการตกไข่ ทำให้โอกาสเกิดภาวะมีบุตรยากลดลง จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ง่ายขึ้น ทารกในครรภ์มีสุขภาพดีขึ้นและลดโอกาสที่จะมีข้อบกพร่องให้น้อยลง
6.น้ำมันงาขี้ม้อน (Perilla oil)
อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ร้อยละ 55-60 ของกรดไขมันทั้งหมด ทำหน้าที่เพิ่มการสร้างไนตริกออกไซด์ (Nitrix oxide) ช่วยขยายหลอดเลือด เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์ได้ดีขึ้น อีกทั้งเพิ่มคุณภาพเซลล์ไข่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 35 ขึ้นไปซึ่งเป็นวัยที่เซลล์ไข่เสื่อมลง
นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 6 ร้อยละ 18-22 ของกรดไขมันทั้งหมด ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายบรรเทาอาการอักเสบและอาการปวดตามร่างกาย และควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล ส่วนโอเมก้า 9 พบร้อยละ 11-13 ของกรดไขมันทั้งหมด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์, สาร ลูทอีโอลิน (Luteolin) เป็นสารในกลุ่ม Flavonoids ที่ออกฤทธิ์ต้านภูมิแพ้และต้านการอักเสบ อีกทั้งอุดมไปด้วยธาตุฟอสฟอรัส ช่วยรักษาสมดุลในการใช้วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย, ส่วนแคลเซียมนั้นเหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีน้ำหนักน้อย ส่งผลให้ไข่ตกง่ายขึ้น
7.น้ำมันมะกอก (Olive Oil)
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามินอี และไขมันโอเมก้า 3 นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFAs) มากกว่า 80% ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลในพลาสมา และเพิ่มการไหลของเมมเบรนในตัวอสุจิ อีกทั้งช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ส่งผลให้การตกไข่และการฝังตัวอ่อนในครรภ์ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 14% ซึ่งถือว่าดีต่อร่างกายคุณแม่มาก ๆ เลยนะคะ เพราะถ้าหากร่างกายได้รับกรดไขมันอิ่มตัวมากเกินไป อาจทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูงและเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วยค่ะ
และที่สำคัญสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic) ของน้ำมันมะกอกมีผลทำให้เกิดกิจกรรมของเอนไซม์สำหรับต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น การบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) ที่เพิ่มขึ้นแทนกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) จะช่วยลดความไวของไลโปโปรตีนที่หมุนเวียนต่อเปอร์ออกไซด์ จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน
8.น้ำมันสาหร่าย (Algae Oil)
อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้งสองประเภท ได้แก่ กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid หรือ EPA) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เพิ่มระดับ HDL ในเลือด ส่วนกรดโดโคซะเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic acid หรือ DHA) ช่วยต้านการอักเสบ ลดระดับไขมันอันตรายในร่างกายและเพิ่มไขมันดีในเลือด รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างเซลล์สมองและดวงตา รวมถึงเพิ่มพัฒนาการของสมองทารกในครรภ์ด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังทานง่าย เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่าน้ำมันปลาทะเลในระยะยาวค่ะ
จากงานวิจัยในสตรีที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่มีภาวะ PCOS พบว่าการรับประทานน้ำมันที่มีโอเมก้า 3 จะช่วยเพิ่มโอกาสการมีประจำเดือนให้มาอย่างสม่ำเสมอมากกว่ายาหลอก และพบอีกว่าการเสริมนี้จะช่วยให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญใน PCOS)
9.น้ำมันงา (Sesame oil)
อุดมไปด้วยแคลเซียม มีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก และช่วยให้ไข่ตกง่ายขึ้น, วิตามิน E มีส่วนช่วยให้วงจรการตกไข่เป็นปกติ และเพิ่มความแข็งแรงของอสุจิ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิให้มากขึ้น, มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย, ลิกแนน มีทองแดงค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนและมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
จากผลการทดสอบพบว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันงา จะช่วยเพิ่มฮอร์โมนจำเป็นต่อการตั้งครรภ์มากขึ้น ได้แก่
Estradiol เป็นฮอร์โมนหลักในเพศหญิง มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต บำรุงรักษา และซ่อมแซมเนื้อเยื่อการสืบพันธุ์และมวลกระดูกของเพศหญิง
FSH (Follicle Stimulating Hormone) เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่ มีผลโดยตรงต่อวงจรของประจำเดือน
SHBG (Sex Hormone Binding Globulin) เป็นโปรตีนในเลือดชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ควบคุมปฏิกิริยาของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ที่มีต่อร่างกาย
U-2OHE (Urine 2-hydroxyestrone) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านม
แม้ว่าจะเป็นน้ำมันดี แต่ต้องเลือกทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยนะคะ นอกจากนี้อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ, นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงบริหารจัดการความเครียดไม่ให้มากเกินไป เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายแปรปรวน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ
Comments