top of page
ค้นหา

ทำไมคนท้องผิวแห้งง่าย ดูแลอย่างไรให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น



ปัญหาผิวแห้งกับคุณแม่ตั้งครรภ์ถือว่าเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นอาการคันผิว ผิวแตกเป็นขุย อาการคันจากผิวแห้ง ย่อมสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของเหล่าคุณแม่เป็นอย่างมาก แต่ภาวะดังกล่าวเป็นกลไกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คุณแม่ทุกคนต้องเจออย่างแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะคันมากคันน้อยแค่ไหน แม้ว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ก็มีวิธีเพิ่มความชุ่นชื้นให้แก่ผิวได้ด้วยเช่นกัน วันนี้ครูก้อยจะมาแนะนำวิธีบำรุงผิวอย่างไรให้ผิวไม่แห้งแตกเป็นขุยกันค่ะ


ทำไมคนท้องผิวแห้งง่าย


เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนเมื่อเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนเกี่ยวข้องกับผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย, การเสริมสร้างความหนาของผิวหนัง อีกทั้งช่วยสมานแผลให้หายไวขึ้น แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติ สังเกตได้จากจุดด่างดำตามผิวหนังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวหนังของคุณแม่ขยายตัวตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเนื่องจากลูกน้อยมีพัฒนาการการเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก และด้วยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ผิวหนังของคุณแม่แห้งง่ายนั่นเองค่ะ


ปัญหาผิวแบบไหนบ้างที่คุณแม่ต้องเจอ


1. ผิวแห้ง


เกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป ส่งผลให้ผิวหนังแห้ง รู้สึกคัน ไม่สบายตัว นอกจากนี้ยังเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงอย่างเช่น ดื่มน้ำน้อย, อยู่ในห้องแอร์นาน ๆ โดยไม่สวมเสื้อกันหนาว, อาบน้ำอุ่นเป็นประจำ ก็จะยิ่งทวีความแห้งของผิวให้มากขึ้นด้วย ในกรณีที่คุณแม่มีปัญหาผิวแห้งอยู่แล้ว เมื่อตั้งครรภ์ก็อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะผิวแห้งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อาจมีผิวแห้ง แตกเป็นขุยลอกออกมา แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากคุณแม่ไม่ได้เลือกทาผิวบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์, SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ฯลฯ ก็อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยได้เช่นกันค่ะ


2. ผิวหนังแตกลาย


เกิดจากผิวหนังยืดตึงและไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ส่วนชั้นผิวหนังแท้ก็เกิดการยุบตัวลง รวมไปถึง

ส่งผลให้เกิดรอยแตก รวมไปถึงระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นจนทำให้เส้นใบคอลลาเจนคลรายตัวลง เนื้อเยื่อผิวหนังจึงฉีกขาดง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้วรอยแตกมักพบตั้งแต่เดือนที่ 6-7 ของการตั้งครรภ์ หากเป็นคุณแม่ผิวเข้มจะมีรอยแตกลายสีอ่อนกว่าสีผิว ส่วนคุณแม่ผิวขาวจะมีรอยแตกลายสีเข้มกว่าสีผิว ขึ้นอยู่กับสีผิวของคุณแม่ หากคุณแม่มีผิวคล้ำย่อมมีโอกาสพบรอยแตกลายมากกว่าคุณแม่ผิวขาว นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับอายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น รอยแตกก็จะลดตาม, น้ำหนักมากขึ้น ผิวหนังขยายตัวมากขึ้นตาม รวมไปถึงกรรมพันธุ์ หากผู้หญิงในครอบครัวมีรอยแตกลายมาก่อน ลูกหลานก็มีโอกาสมีรอยแตกลายมากถึง 81%


3. ผิวหมองคล้ำขณะตั้งครรภ์


เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทั้งสองฮอร์โมนนี้มีผลต่อประจำเดือนและการตกไข่ของผู้หญิงโดยตรง นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นเม็ดสีบริเวณผิวหนังให้เกิดการทำงานผิดปกติ เมลานินชั้นผิวหนังจึงมีความเข้มข้นขึ้น ผิวจึงดูหมองมากขึ้นนั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นฝ้ากระบนใบหน้า, รักแร้ดำขึ้นและหนาขึ้น รูขุมขนพองขึ้น ปานหัวนมขยายใหญ่และมีสีเข้มขึ้น รอยพับของเต้านมมีรอยดำ แต่รอยดำดังกล่าวจะค่อย ๆ จางลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ แต่ในกรณีที่รอยดำไม่หายไปเอง รอยดำจะมีสีเข้มขึ้นตามอายุครรภ์


4. ปัญหาสิว


เกิดจากฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น เมื่อต่อมไขมันถูกกระตุ้น ส่งผลให้ผิวหนังสร้างน้ำมันมากกว่าปกติ ผิวหน้าจึงมันง่าย เกิดรูขุมขนอุดตันและกลายเป็นสิวอักเสบตามมา ปัญหาสิวอาจหายไปได้เองหรืออาจเป็นไปตลอดจนถึงช่วงคลอดได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล


ดูแลปัญหาผิวในคนท้องอย่างไรดี


1. เติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยการดื่มน้ำอย่างถูกวิธี


การดื่มน้ำที่ถูกต้องควรดื่มน้ำให้ตรงตามปริมาณที่ร่างกายต้องการอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว (2,000 มิลลิลิตร หรือ 2 ลิตรโดยประมาณ) แต่หากต้องการปริมาณน้ำที่ตรงกับร่างกายของเรามากที่สุด แนะนำให้คำนวณจากสูตรดังต่อไปนี้


น้ำหนัก (กิโลกรัม) คูณด้วย 2.2 คูณด้วย 30 หารด้วย 2 เท่ากับปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน

เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม x 2.2 x 30 / 2 จะเท่ากับ 1,650 มิลลิลิตร หรือ 1.6 ลิตร


2. งดเกาบริเวณที่คัน


หากคุณแม่รู้สึกคันบริเวณผิว ห้ามเกาเด็ดขาดนะคะ เพราะการเกาจะกระตุ้นให้ผิวแห้งจากการระคายเคืองมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญเล็บของเราเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก หากเกาบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังถลอกและติดเชื้อง่ายขึ้นด้วยค่ะ ดังนั้นหากรู้สึกคันให้ประคบเย็นด้วยผ้าชุบน้ำเย็นหรือทาครีมบำรุงผิวจะดีกว่าค่ะ


3. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน


แม้ว่าการอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อน (ออนเซน) จะช่วยผ่อนคลาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นก็ตาม แต่หากร่างกายได้รับน้ำที่มีอุณหภูมิสูงประมาณ 37-42 องศาเซลเซียสเกิน 15 นาที จะทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป ส่งผลให้ผิวแห้งง่าย ตามมาด้วยผิวเหี่ยวย่น มีผื่นขึ้น ทางที่ดีควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ หรือประมาณ 27 องศาเซลเซียสจะดีกว่าค่ะ เพราะนอกจากจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังได้ดีแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อตื่นตัวและรู้สึกสดชื่นมากขึ้นด้วยนะคะ


4. ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ


สำหรับครีมบำรุงผิวที่ควรใช้จะต้องไม่เหนียวเหนอะหนะ มีส่วนผสมของน้ำและซิลิโคนชนิดเบา แต่หากคุณแม่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้ทาครีมที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติหรือสูตรอ่อนโยวต่อผิวแทนค่ะ และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ SLS ที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้ง่ายขึ้น


5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดเป็นเวลานาน


เนื่องจากแสงแดดมีรังสี UV ที่มีฤทธิ์ทำร้ายผิวจนผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร แต่หากคุณแม่มีเหตุจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่แดดจ้า ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกจากบ้าน และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และควรสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด กางร่มตลอดเวลา ทั้งนี้ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายเพื่อป้องกันความอึดอัดจากรูปร่างที่ขยายขึ้นเมื่อตั้งครรภ์


6. เลือกรับประทานอาหารบำรุงผิว โดยเฉพาะวิตามิน C


นอกจากจะต้องงดอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นง่ายขึ้นแล้ว ยังต้องเน้นการรับประทานอาหารที่มีวิตามิน C ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พอผิวมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น จึงช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาชุ่มชื้น กระจ่างใสอีกครั้ง


บทความที่น่าสนใจ

ดู 1,787 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Kommentare


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page