top of page
ค้นหา

ก่อนใส่ตัวอ่อนควรกินอะไร เตรียมตัวยังไงให้ผนังมดลูกแข็งแรง



ก่อนใส่ตัวอ่อนควรกินอะไร เป็นเรื่องที่คุณแม่หลาย ๆ คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากการตั้งครรภ์ในทางการแพทย์นั้น "การย้ายตัวอ่อน" ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้ตั้งครรภ์ นอกจากการย้ายตัวอ่อนแล้ว คือ "ผนังมดลูก" ของคุณแม่ที่แข็งแรง ในบทความนี้ครูก้อยจึงนำวิธีบำรุงผนังมดลูกและอาหารที่ควรรับประทานมาฝากว่าที่คุณแม่กันค่ะ


ก่อนใส่ตัวอ่อนควรกินอะไร ต้องเตรียมความพร้อมยังไงบ้างให้ผนังมดลูกแข็งแรง


การเตรียมตัวก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีและกลายเป็นทารกน้อยในครรภ์ เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญสำหรับสตรีมีบุตรยากที่เข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งกระบวนการทำ IVF และ อิ๊กซี่ (ICSI) เพราะหลังจากผ่านกระบวนการบำรุงเตรียมตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และลุ้นผลการปฏิสนธิในห้องแล็บ และเลี้ยงไปถึงระยะบลาสโตซิสต์แล้ว สำหรับสตรีที่มีความเสี่ยงทางโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีอายุเกิน 35 ปี ยังต้องลุ้นผลตรวจโครโมโซม ดังนั้นว่าที่คุณแม่คงไม่อยากพลาดขั้นตอนสุดท้าย คือการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้นั่นเองค่ะ


การเตรียมตัวก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูก สำคัญอย่างไร?


การเตรียมตัวก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกมีความสำคัญมาก เพราะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะเป็นจุดชี้วัดความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้มีบุตรยากที่อยู่ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้หญิงที่มีบุตรยาก ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อน โดยภายหลังที่ได้ตัวอ่อนในระยะ บลาสโตซิสต์และคัดโครโมโซมผ่านแล้ว สามารถแช่แข็งตัวอ่อนไว้ได้ ไม่ต้องรีบใส่ตัวอ่อน ควรพัก อย่างน้อย 1-3 รอบเดือน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมร่างกาย และบำบัดมดลูกให้พร้อมสำหรับ การตั้งครรภ์ โดยผนังมดลูกที่สมบูรณ์พร้อมตามเกณฑ์ที่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อนควรมีลักษณะดังนี้ คือ 1.ผนังมดลูกมีความหนา 8-10 มิลลิเมตร เรียง 3 ชั้นสวย (Triple line) 2.ผนังมดลูกมีผิวเรียบเห็นเส้นกลางชัดเจน ใสเป็นวุ้น มดลูกสะอาด ไม่หนาทึบทับถมด้วยประจำเดือนเก่าที่คั่งค้าง 3. มดลูกอุ่น มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ ไม่มีสารพิษตกค้าง ซึ่งต้องอาศัยการดูแลสุขภาพ และการบำรุง ที่ดี


วิธีการย้ายตัวอ่อน มีกี่แบบ?


สำหรับวิธีการย้ายตัวอ่อนนั้น จะมี 2 แบบด้วยกันค่ะ ได้แก่


แบบรอบธรรมชาติ


การเตรียมผนังมดลูกในรอบธรรมชาติ ไม่มีการใช้ยาฮอร์โมนจากภายนอก โดยการอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในร่างกาย ซึ่งหากมีฮอร์โมนที่สมดุลและรอบตกไข่ปกติและบำรุงมาดีร่างกายจะผลิตฮอร์โมนกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตามธรรมชาติเพื่อเตรียมพร้อมรอรับการฝังตัว โดยแพทย์จะนัดอัลตราซาวด์ เป็นระยะ ๆ ตามอาการผลราว 10 วัน เพื่อวิเคราะห์ผนังมดลูก ดังนี้ 1.ผนังมดลูกหนาตามเกณฑ์ 8-10 มิลลิเมตร (ไม่ควรหนาเกิน 14 มิลลิเมตร) 2. เรียงสามชั้นเป็น Triple Line 3.ใสเป็นวุ้นเห็นเส้นกลางชัดเจน


แบบการใช้ยาฮอร์โมน


เป็นการใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากภายนอกกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่เหมาะสมต่อการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก แพทย์จะปรับขนาดยาฮอร์โมนแล้วนัดมาติดตามอาการอีกครั้ง


กรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกเหมาะสมแก่การย้ายตัวอ่อนแล้ว แพทย์จะให้ยารับประทานและยาสำหรับสอดทางช่องคลอด เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนถึงวันที่ย้ายตัวอ่อน 5 วัน หลังจากนั้นแพทย์จะนัดวัน และเวลาในการย้ายตัวอ่อนอีกครั้ง


แบบรอบธรรมชาติ


การเตรียมผนังมดลูกในรอบธรรมชาติ ไม่มีการใช้ยาฮอร์โมนจากภายนอก โดยการอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในร่างกาย ซึ่งหากมีฮอร์โมนที่สมดุลและรอบตกไข่ปกติและบำรุงมาดีร่างกายจะผลิตฮอร์โมนกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตามธรรมชาติเพื่อเตรียมพร้อมรอรับการฝังตัว โดยแพทย์จะนัดอัลตราซาวด์ เป็นระยะ ๆ ตามอาการผลราว 10 วัน เพื่อวิเคราะห์ผนังมดลูก


ดังนี้


1.ผนังมดลูกหนาตามเกณฑ์ 8-10 มิลลิเมตร (ไม่ควรหนาเกิน 14 มิลลิเมตร)

2. เรียงสามชั้นเป็น (Triple Line)

3.ใสเป็นวุ้นเห็นเส้นกลางชัดเจน


แบบการใช้ยาฮอร์โมน


เป็นการใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากภายนอกกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่เหมาะสมต่อการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก แพทย์จะปรับขนาดยาฮอร์โมนแล้วนัดมาติดตามอาการอีกครั้ง


กรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกเหมาะสมแก่การย้ายตัวอ่อนแล้ว แพทย์จะให้ยารับประทานและยาสำหรับสอดทางช่องคลอด เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนถึงวันที่ย้ายตัวอ่อน 5 วัน หลังจากนั้นแพทย์จะนัดวัน และเวลาในการย้ายตัวอ่อนอีกครั้ง


10 วิธีเตรียมผนังมดลูกเพื่อเตรียมความพร้อมในการย้ายตัวอ่อน By ครูก้อย


ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก มีดังนี้


1. การทานโปรตีนให้เพียงพอ ช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาตามเกณฑ์และแข็งแรง


ผนังมดลูกที่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อนควรมีความหนา 8-10 มิลลิเมตร (ไม่ควรหนาเกิน 14 มิลลิเมตร) มีเลือดสูบฉีดนำสารอาหารไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฝังตัวของตัวอ่อนได้อย่างสมบูรณ์ และลดการใช้ยากระตุ้นในกระบวนการทางการแพทย์ ผู้หญิงที่เตรียมวางแผนท้องต้องเน้นทานโปรตีนเพิ่มขึ้นเพื่อบำรุงเซลล์ไข่ให้สมบูรณ์และช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาตัว แข็งแรง คนวางแผนท้องควรเน้นทานโปรตีนจากพืช เพราะปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง หรือ ฮอร์โมนแฝงที่มากับเนื้อสัตว์ หากรับประทานมากเกินไปจะรบกวนสมดุลฮอร์โมนเพศ และการฝังตัวของตัวอ่อน โดยควรเน้นทานคาร์บเชิงซ้อนจากธัญพืช เช่น งาดำ ลูกเดือย แฟล็กซีด เมล็ดฟักทอง เป็นต้น


2. ปรับสมดุลฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนด้วยการทานอาหารที่มีวิตามินซี และไบโอ ฟลาโวนอยด์สูง


มีงานวิจัยจาก The University of Texas ศึกษาพบว่าผู้หญิง 53% ที่ทานอาหารที่มีวิตามินซี และ ไบโอ ฟลาโวนอยด์สูงจะมีช่วงลูเทียลเฟส (Luteal Phase) ยาว ระยะลูเทียล คือ ระยะเวลาหลัง การตกไข่ ที่ร่างกายจะสร้างระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน หากมีความบกพร่องของระยะนี้หมายความว่า ร่างกาย มีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนน้อยเกินไป ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่หนาตัว ทำให้ช่วงระยะเวลาลูเทียล (Luteal Phase) สั้น ส่งผลให้โอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อนมีน้อยลง


มีการวิจัยพบว่า "น้ำมะกรูดคั้นสด" มี "วิตามิน C " และ "ไบโอฟลาโวนอยด์" สูงช่วยให้เลือดสูบฉีด ไหลเวียนดี และทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกได้เพียงพอ ทำให้มดลูกอุ่น ลดการอักเสบติดเชื้อที่มดลูก มีงานวิจัยชี้ว่า ไบโอฟลาโวนอยด์ยังไปเสริมการทำงานของวิตามินซี ที่ช่วยเรื่องการเพิ่มระดับฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการตั้งครรภ์ ช่วยยืดระยะลูเทียสเฟส ทำให้ตัวอ่อนฝังตัว ได้ดีขึ้น


3.รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและคงที่


เพื่อรักษาความสมดุลของฮอร์โมน น้ำหนักมากหรือน้อยเกินไปต่างก็ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนทำงานผิดปกติ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Panminerva Medica เมื่อปี 2019 ศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีค่า BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 25 มีส่วนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนผิดปกติ ส่งผลให้มีฮอร์โมนไม่สมดุล ไข่ไม่ตก ประจำเดือน มาไม่ปกติ เซลล์ไข่ด้อยคุณภาพ หากใช้กระบวนการทางการแพทย์รักษา จะมีอัตราความสำเร็จต่ำกว่ากลุ่มที่น้ำหนักปกติ ยิ่งถ้าค่า BMI อยู่ในระดับ 30 ส่งผลต่อการแท้งบุตรมากขึ้นด้วย


4.ดื่มชาดอกคำฝอย ตัวช่วยล้างประจำเดือนเก่าที่คั่งค้าง


ดอกคำฝอยมีสรรพคุณทางยาที่สำคัญคือการขับลิ่มเลือด การดื่มชาดอกคำฝอยจึงช่วยขับประจำเดือนเก่าที่คั่งค้างทับถมในมดลูก "เสมือนเป็นการล้างมดลูกให้สะอาด" ประจำเดือนจะไหลออกมาดีขึ้น สีแดงสะอาด โดยสามารถเริ่มดื่มเมื่อประจำเดือนมาวันแรกต่อเนื่อง 7-10 วัน นอกจากนี้ดอกคำฝอยยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนสตรีทำให้เลือดไหลเวียนดี ประจำเดือนมาปกติ และยังช่วยลดน้ำตาล ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย


5.ดื่มขิงดำ เพิ่มสภาวะมดลูกอุ่น เลือดไหลเวียนดี


การดื่มน้ำขิงดำเป็นประจำ ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดี เพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนนำสารอาหารไปเลี้ยงมดลูกได้อย่างเต็มที่ ขิงดำยังมีฤทธิ์อุ่น ช่วยปรับสภาพภาวะในร่างกายที่มีความเย็น ให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น มดลูกอุ่น ติดลูกง่ายขึ้น โดยสามารถดื่มช่วงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีประจำเดือน เพราะขิงทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ผ่อนคลายและนอนหลับลึก ช่วยให้นอนหลับอย่างเพียงพอ และยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย เพราะขิงดำช่วยให้ผ่อนคลาย ลดฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวร้ายที่มีผลต่อการขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ ขิงดำยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบและติดเชื้อในมดลูก ทำให้มดลูกแข็งแรง หากมดลูกอักเสบ ติดเชื้อก็ส่งผลให้ตัวอ่อนไม่ฝังตัวหรือแท้งในระยะเริ่มต้นนั่นเอง นอกจากนี้ยังช่วยลดกลุ่มอาการ PMS หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนที่ฮอร์โมนกำลังแปรปรวน การดื่มขิงดำช่วยทำให้สมดุลฮอร์โมนปกติ ลดอาการตัวบวม ลดอาการปวดท้องประจำเดือน


6.แพ็คน้ำมันละหุ่งบำบัดมดลูก (Castor Oil Pack) ช่วยดีท็อกซ์มดลูก


การทำ Castor Oil Pack เป็นศาสตร์ทางตะวันตกที่มีการทำกันมาเป็นพัน ๆ ปีเพื่อบำบัด หรือ ดีท็อกซ์มดลูก รวมถึงอวัยวะภายในทั้งรังไข่ ลำไส้ ตับอ่อนและถุงน้ำดี โดยการใช้น้ำมันละหุ่งทาบริเวณหน้าท้องและประคบด้วยถุงน้ำร้อน การทำ Castor Oil Pack จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์เพราะช่วยเสริมสร้างสุขภาพมดลูก สร้างสุขภาพที่ดีให้รังไข่ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น รวมถึงระบบน้ำเหลืองและระบบฮอร์โมนที่ดีขึ้น ช่วยดีท็อกซ์สารเคมีตกค้างในร่างกายจากการใช้ฮอร์โมนมากเกินไป


7.ทานวิตามินบำรุงเตรียมตั้งครรภ์


การรับประทานอาหารในแต่ละวัน อาจจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเตรียมตั้งครรภ์ไม่ครบถ้วน ดังนั้นการทานวิตามินบำรุงสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนได้ แต่ก่อนที่จะทานวิตามินบำรุงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทาน หรือเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีแหล่งที่มาที่ตรวจสอบได้เท่านั้น โดยครูก้อยแนะนำ วิตามิน OvaAll มีครบ ทั้ง โฟลิก Fish oil Q10 วิตามินและแร่ธาตุรวม ซึ่งเหมาะสำหรับสตรีเตรียมตั้งครรภ์


8.การเตรียมพร้อมทางด้านอารมณ์ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด


ความกังวล และไม่มีเวลาผ่อนคลายจากความเครียด ส่งผลให้มีอาการนอนไม่หลับ นอนน้อยส่งผลให้เกิด ความเครียดสะสม เมื่อเครียดฮอร์โมนความเครียด หรือ ที่เรียกว่า "คอร์ติซอล" จะถูกหลั่งออกมา มากเกินไป และรบกวน การทำงานของฮอร์โมนเพศ ทำให้ฮอร์โมนเพศผิดเพี้ยน แปรปรวน ความเครียดจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์มีน้อยลง เพราะเมื่อร่างกายเกิดภาวะเครียด การทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบเจริญพันธุ์ทำงานผิดปกติ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Sleep Medicine Report เมื่อปี 2016 ศึกษาพบว่าทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย สมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน ที่ทำให้เราหลับ หรือ ตื่น เช่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน และคอร์ติซอลเป็นสมองส่วนที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศด้วยเช่นกัน


9.การเตรียมพร้อมเยื่อบุโพรงมดลูกด้วยกระบวนการแพทย์ก่อนย้ายตัวอ่อน


หลังจากเตรียมความพร้อมทั้งด้านโภชนาการ และการบำบัดมดลูกมาดีแล้ว สามารถนัดปรึกษาแพทย์ ในวันที่ 2-3 ของรอบเดือน เพื่อประเมินโพรงมดลูก และวางแผนการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก


10.การเตรียมตัว ณ วันย้ายตัวอ่อน (Embryo Transfer)


ก่อนย้ายตัวอ่อนแพทย์จะให้ดื่มน้ำและกลั้นปัสสาวะประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนถึงเวลาย้ายตัวอ่อน และทำการอัลตราซาวด์บริเวณหน้าท้องเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมในการฝังตัวอ่อนและย้ายตัวอ่อนวางในตำแหน่งที่แพทย์กำหนดไว้ หลังใส่ตัวอ่อนแพทย์จะสอดยาเข้าทางช่องคลอด และให้นอนพักประมาณ 60 นาที พอครบเวลาแล้วให้ค่อย ๆ ลุก แนะนำให้นอนตะแคงและใช้ศอกค้ำยันให้ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ห้ามเกร็งหน้าท้อง เดินอย่างระมัดระวัง และรับยาพยุงการตั้งครรภ์ก่อนกลับมาพักผ่อนที่บ้าน หลังจากนั้นแพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจการตั้งครรภ์ ในวันที่ 10 หลังการย้าย ตัวอ่อน


อย่างไรก็ตาม การเตรียมผนังมดลูกให้พร้อมไม่ควรรอพึ่งกระบวนทางการแพทย์อย่างเดียวเพราะโอกาสความสำเร็จขึ้นอยู่กับวัตถุดิบตั้งต้นของแต่ละคน ดังนั้นการเตรียมความพร้อม ทั้งทางร่างกาย และระบบเจริญพันธุ์ให้สมบูรณ์ ก่อนเข้าสู่กระบวนแพทย์เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะเมื่อมีวัตถุดิบตั้งต้นดี โอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ก็จะมีสูงตามมาเช่นกันค่ะ


บทความที่น่าสนใจ

 
 
 

Comments


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page