top of page
ค้นหา

ผนังสวย ตัวอ่อนคัดผ่าน แต่ไม่ท้อง ต้องตรวจ! …5 ค่าแทรกซ้อนนี้!

ree

ในการทำ ICSI นั้น อัตราความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวอ่อนเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะได้ตัวอ่อนคุณภาพดี แต่มดลูกไม่พร้อมฝังตัว หรือมีสภาวะระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็อาจส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการฝังตัวของตัวอ่อนได้ค่ะ


แม่ๆ บางคนย้ายตัวอ่อนหลายรอบไม่ติด ทั้งที่ตัวอ่อนคัดโครโมโซมผ่าน ผนังสวย ใส อุ่น หนาตามเกณฑ์ นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่า แม่ๆ อาจมีค่าแทรกซ้อนที่ต้านตัวอ่อนแฝงอยู่

วันนี้ครูก้อนจะมาบอก 5 ค่าแทรกซ้อนสำคัญ ที่คุณแม่โดยเฉพาะคนที่เคยย้ายตัวอ่อนแล้วไม่ติด ควรตรวจเพิ่มเติมก่อนใส่ตัวอ่อน


● 5 ค่าแทรกซ้อน ที่ควรตรวจก่อนใส่ตัวอ่อนมีอะไรบ้าง?


1. การตรวจเพื่อประเมินการอักเสบในร่างกาย หรือ ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate)


● การตรวจ ESR หาค่าการอักเสบคืออะไร?


การตรวจ ESR นั้นย่อมาจาก Erythrocyte Sedimentation Rate ซึ่งไม่ได้ใช้ในการวินิจฉัยโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะช่วยบอกข้อมูลว่าคุณกำลังมีการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกายหรือไม่ แพทย์จะทำการตรวจ ESR ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ซึ่งการตรวจอื่นๆ นั้นก็จะขึ้นกับอาการที่คุณมี นอกจากนั้นการตรวจนี้ยังอาจจะใช้ติดตามโรคที่มีการอักเสบก็ได้


ในการทดสอบนี้จะต้องใช้การเจาะเลือดก่อนนำไปดูอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือด การอักเสบในร่างกายนั้นจะทำให้มีโปรตีนผิดปกติเกิดขึ้นในเลือด ซึ่งอาจทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นเกาะตัวกันและตกตะกอนเร็วกว่าปกติ  ซึ่งค่า ESR ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 50 ปีควรมีค่า ESR ต่ำกว่า 20 mm/hr


● การอักเสบสัมพันธ์กับการมีบุตรยากอย่างไร?


การอักเสบที่เกิดขึ้นในระยะสั้นถือว่าเป็นกลไกที่ปกติของร่างกาย แต่หากมีการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ก็จะนำไปสู่การเจ็บป่วยต่างๆ



📚 จากงานวิจัย Inflammation in Reproductive Disorders. ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Reproductive Science เมื่อปี 2011


ศึกษาพบว่า การอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคทางสูติศาสตร์ (Gyneological disease) ซึ่งการอักเสบ (Inflammation) ส่งผลต่อการตกไข่และการสร้างฮอร์โมนรวมไปถึงเกี่ยวข้องกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่


ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรนั้นการอักเสบมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะต่างๆ ดังนี้


- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่


- ภาวะถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS)


- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ


- ซีสต์รังไข่ หรือ เนื้องอกในโพรงมดลูก


- รังไข่เสื่อม วัยทองก่อนวัย


- เซลล์ไข่และเซลล์สเปิร์มที่ด้อยคุณภาพ


- การที่ตัวอ่อนไม่ฝังตัว หรือแท้งในระยะเริ่มต้น


2. การตรวจเพื่อประเมินโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ ANA / ANF (Anti-Nuclear Factor)


● การตรวจ ANA คืออะไร?


ANA หรือ ANF เป็นการตรวจหา แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านนิวเคลียสของเซลล์ในร่างกายตัวเอง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรค “ภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง” (Autoimmune disease) แม้ ANA จะไม่ชี้เฉพาะว่าเป็นโรคอะไร แต่หากให้ผลบวกสูง อาจสัมพันธ์กับโรคดังนี้:


- โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus)


- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์


- โรคไทรอยด์อักเสบจากภูมิคุ้มกัน (Hashimoto’s thyroiditis)


- และโรค autoimmune อื่นๆ


การตรวจ ANA ใช้ร่วมกับการประเมินอาการทางคลินิกอื่นๆ เช่น ปวดข้อ ผื่นแพ้ ภูมิแพ้เรื้อรัง แท้งซ้ำ หรือฝังตัวอ่อนยาก


● ANA เกี่ยวอะไรกับการมีบุตรยาก?


ระบบภูมิคุ้มกันที่แปรปรวนหรือไวเกินไป อาจไม่ยอมรับ "ตัวอ่อน" ที่ฝังตัวในมดลูกเพราะร่างกายมองว่าตัวอ่อนเป็นสิ่งแปลกปลอม (foreign body) จึงปล่อยภูมิคุ้มกันมาต่อต้าน ส่งผลให้


- ตัวอ่อนไม่ฝังตัว


- ฝังแล้วหลุด


- แท้งในระยะเริ่มต้น


แม้ผู้หญิงจะไม่มีอาการป่วยอื่นชัดเจน แต่หากมีค่าภูมิคุ้มกันผิดปกติแฝงอยู่ การตรวจ ANA จะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจใช้ยากดภูมิ (เช่น Prednisolone) หรือยาเสริมเพื่อเพิ่มโอกาสฝังตัวสำเร็จ


3. การตรวจหาแอนติบิดีฟอสโฟลิปิด หรือ APS (Antiphospholipid Syndrome)


● การตรวจ APS คืออะไร?


APS หรือ Antiphospholipid Syndrome คือ ภาวะที่ร่างกายสร้าง “แอนติบอดี” มาทำลายสารไขมันที่เรียกว่า “ฟอสโฟลิปิด” ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์และเยื่อบุหลอดเลือด

แอนติบอดีเหล่านี้จะกระตุ้นให้เลือดแข็งตัวง่ายขึ้น เกิดภาวะ “เลือดข้น – เกิดลิ่มเลือด” ในหลอดเลือดเล็กๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ มดลูกและรก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาวะเจริญพันธุ์


● การตรวจ APS มักประกอบด้วย 3 ค่าหลักๆ คือ


- Lupus Anticoagulant (LA)


- Anticardiolipin antibodies (aCL)


- Anti-beta2 glycoprotein I (Anti-β2GPI)


หากพบผลบวกใน 1 ใน 3 หรือมากกว่า และมีประวัติการแท้งซ้ำ แพทย์จะวินิจฉัยว่า “มีภาวะ APS”


● APS เกี่ยวอะไรกับการมีบุตรยาก?


จุดสำคัญคือ ลิ่มเลือดที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ อาจไปอุดตันหลอดเลือดฝอยที่มดลูกหรือรก สิ่งนี้มีผลกระทบมากในการมีลูก เเนื่องจาก


- รบกวนการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูก


- ตัวอ่อนได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ


- ตัวอ่อนไม่ฝังตัว หรือฝังแล้วหลุด


- แท้งซ้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ


- ภาวะรกเสื่อม รกลอกตัวก่อนกำหนด หรือทารกตัวเล็กในครรภ์ (IUGR)


4. การตรวจดลือดเพื่อหาปัจจัยการแข็งตัวของเลือดแฟเตอร์ 12 (Factor XII Assay)


● การตรวจ Factor XII คืออะไร?


Factor XII (อ่านว่า แฟคเตอร์ ทเวลฟ์) หรือชื่อเต็มคือ Hageman Factor เป็นหนึ่งใน “โปรตีนที่มีบทบาทในกระบวนการแข็งตัวของเลือด” (Coagulation cascade) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีการบาดเจ็บ แต่ถ้าค่าผิดปกติ อาจทำให้เลือดแข็งตัว "มากเกินไป" โดยไม่จำเป็น


● การตรวจ Factor XII Assay จึงสามารถใช้เป็นดารประเมินได้ดังนี้


- เลือดของผู้ป่วย แข็งตัวเร็วกว่าปกติหรือไม่


- มีความเสี่ยง เกิดลิ่มเลือดอุดตันในระบบจุลภาคหรือไม่


● ทำไมต้องตรวจ Factor XII ก่อนใส่ตัวอ่อน?


แม้ว่าภาวะขาด Factor XII จะไม่ก่อให้เกิดเลือดออกผิดปกติแบบ Hemophilia แต่ ในบริบทของการมีบุตรยาก ค่า Factor XII ที่ “ต่ำหรือผิดปกติ” จะส่งผลต่อ


- ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติแบบเรื้อรัง (Thrombophilia)


- การอุดตันของหลอดเลือดฝอยบริเวณโพรงมดลูก


- รบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน


- แท้งในช่วงแรก (Early Pregnancy Loss)


- ล้มเหลวในการตั้งครรภ์ซ้ำแม้ใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ (IVF/ICSI)


โดยกลไกที่ส่งผลต่อการฝังตัวคือ หากเลือดข้น หรือมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในมดลูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ ตัวอ่อนไม่สามารถได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นในช่วงการฝังตัว (Implantation window) ส่งผลให้ฝังตัวล้มเหลว หรือฝังแล้วไม่เจริญเติบโตต่อนั่นเองค่ะ


5. การตรวจเลือดเพื่อหาระดับแอนติบอดีต่อต่อมไทรอยด์ หรือ Anti-TPO (Microsomal Antibody)


● Anti-TPO คืออะไร?


Anti-TPO (Anti-Thyroid Peroxidase Antibody) คือ แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมา “ต่อต้านเอนไซม์ไทรอยด์เปอร์ออกซิเดส (TPO)” ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์


หากตรวจพบ Anti-TPO สูง แปลว่าร่างกาย เริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายต่อมไทรอยด์ตัวเอง นำไปสู่โรคไทรอยด์อักเสบจากภูมิคุ้มกัน (เช่น Hashimoto's Thyroiditis)


● ไทรอยด์ กับ “การมีบุตร” เกี่ยวกันยังไง?


ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุม “ระบบเผาผลาญ” และ “สมดุลฮอร์โมน” ทั่วร่างกาย รวมถึง ฮอร์โมนเพศ (Estrogen / Progesterone) วงจรการตกไข่ (Ovulation) การเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก การพัฒนาตัวอ่อนในระยะแรก



● ถ้าไทรอยด์ผิดปกติหรือมี Anti-TPO สูง จะส่งผลต่อ


-  การตกไข่ผิดจังหวะ


- เยื่อบุโพรงมดลูกไม่สมบูรณ์


- ตัวอ่อนฝังตัวยาก


- แท้งในไตรมาสแรก


- พัฒนาการของทารกในครรภ์ล่าช้า โดยเฉพาะด้านสมอง


แม้ TSH จะปกติ แต่ถ้ามี Anti-TPO สูง ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาก่อนใส่ตัวอ่อนนะคะ


เพราะฉะนั้นแม่ๆ จะเห็นได้ว่าค่าแทรกซ้อนทั้ง 5 ตัว ส่งผลอย่างมากต่ออัตราความสำเร็จในการฝังตัวของตัวอ่อน หากแม่ๆ มีประวัติใส่ตัวอ่อนแล้วไม่ติดซ้ำ แท้งซ้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออายุมาก (40+) ครูก้อยแนะนำให้ตรวจ 5 ค่าแทรกซ้อนนี้เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้เสียรอบและเสียตัวอ่อนที่คัดโครโมโซมไปนะคะ


อย่างไรก้ตามนอกจากตรวจค่าแทรกซ้อนต่างๆ แล้ว แม่ๆ ต้องดูแลตัวเองให้ดี เตรียมผนังให้พร้อม ให้เลือดไหลเวียนดี มีความหนา สวย ใส เห็นเส้น 3 ชั้น ชัดเจน และมีความหนา 8-10 มิลร่วมด้วยนะคะ


ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มโปรตีน ลดคาร์บ งดหวาน ทานกรดไขมันดี เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ ออกกำลังเบาๆ สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมด้วยนะคะ ปิดทุกจุดอุดทุกรูรั่ว วันนึงเบบี๋จะมาสมใจค่ะ


ความคิดเห็น


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page