ปัญหาการมีบุตรยากสาเหตุมาจากฝ่ายชายถึง 40% ดังนั้นหากคู่ของเราทำยังไงก็ไม่ท้องสักที อย่าโทษฝ่ายหญิงฝ่ายเดียวค่ะ เพราะการตั้งครรภ์ต้องการสเปิร์มจากคุณสามีด้วย หากสเปิร์มด้อยคุณภาพ โอกาสที่จะเข้าปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ก็ต่ำลง โอกาสท้องก็ต่ำลงเช่นกันค่ะ
วันนี้ครูก้อยรวบรวม 8 สาเหตุที่ส่งให้สเปิร์มของ
คุณผู้ชาย "ไร้คุณภาพ" มาฝากค่ะ ศึกษาพร้อมกันทั้งสามีและภรรยานะคะ จะได้ช่วยกันดูแลและบำรุงให้สเปิร์มมีคุณภาพดีขึ้นค่ะ
(1) ฮอร์โมนเพศชายต่ำ
🧔ฮอร์โมนชาย (Testosterone) คือ ฮอร์โมนเพศหลักในตัวผู้ชายที่ผลิตโดยลูกอัณฑะหลังได้รับการกระตุ้น
จากต่อมใต้สมอง มีหน้าที่ในการพัฒนาลักษณะทางกายภาพให้ตัวคุณดูแมนสมชายชาตรี คอยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมไปถึง "ระบบการสร้างสเปิร์ม"
#ฮอร์โมนเพศชายทำงานอย่างไร ?
ฮอร์โมนเพศชายมีความสำคัญต่อแทบทุกระบบในร่างกายของผู้ชาย โดยมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
👉คงความแข็งแรงและรักษามวลกล้ามเนื้อ
👉รักษาความหนาแน่นของมวลกระดูก
👉มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด การสลายไขมัน และการสร้างอสุจิ
👉ทำให้เกิดขนตามร่างกายและใบหน้า
👉ช่วยให้เกิดความต้องการทางเพศ เพิ่มขนาดของอวัยวะเพศและอัณฑะเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ
ฮอร์โมนเพศชายต่ำไม่สมดุล จะเกิดอะไรขึ้น❓
ยิ่งอายุมากขึ้น ฮอร์โมนชายจะค่อยๆ ลดลงตามธรรมชาติ โดยผู้ชายอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป เทสโทสเตอโรนจะเริ่มหายไปประมาณร้อยละ 1 ต่อปี ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านสุขภาพ #ซึ่งจะส่งผลต่อระบบความต้องการ สมรรถนะและการแข็งตัวของอวัยวะ #การผลิตและสร้างน้ำเชื้อ #ทำให้ส่งผลต่อการมีบุตรยาก
ไม่ใช่แค่เรื่องอายุเท่านั้น ปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งไลฟ์สไตล์ อาหารการกิน พักผ่อนน้อย ความเครียด และการออกกำลังกายหนักหรือน้อยมากเกินไป ก็มีผลให้ร่างกายผลิตเทสโทสเตอโรนได้น้อยลงเช่นกัน หากฮอร์โมนชายต่ำเกินมาตรฐาน จะเรียกว่าภาวะ Hypogonadism ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายและอารมณ์ ดังนี้
✔ร่างกายอ่อนเพลีย
✔อารมณ์หดหู่
✔ความต้องการทางเพศหายไป
✔การฟื้นฟูของร่างกายลดลง
✔จำนวนอสุจิน้อยลง
✔สูญเสียกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกระดูก
.
(2) ร่างกายอักเสบ
การอักเสบคืออะไร❓
การอักเสบเป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อให้กลับมาเป็นปกติ การอักเสบจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันการทำลายเซลล์ หรือ การบาดเจ็บในร่างกายซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก ความเครียด ความเจ็บป่วย การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมไปถึงสภาวะทางจิตที่ไม่ปกติ ร่างกายจะตอบสนองกับภัยคุกคามนี้โดยการปล่อยสารมาควมคุมให้ร่างกายคงสภาวะสมดุลเอาไว้เรียกว่าสภาวะ Homeostasis โดยร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเมื่อร่างกายมีการอักเสบมาก สภาวะในร่างกายจะมีสารโปรตีนที่หลั่งจากเซลล์ต่างๆในระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า Cytokine ออกมามาก ซึ่งสามารถตรวจหาโปรตีนชนิดนี้เพื่อเช็คความอักเสบในร่างกายได้
กระบวนการอักเสบเป็นกลไกในการป้องกันสิ่งแปลกปลอม แต่หากมีการอักเสบมากเกินไปก็จะ
เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อได้
#การอักเสบส่งผลต่อสเปิร์มอย่างไร❓
📚จากงายวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal Reproduction & infertility เมื่อปี 2015 ศึกษาพบว่า...เมื่อร่างกายอักเสบ จะส่งผลให้ร่างกายผลิต ROS หรือ อนุมูลอิสระออกมามาก และอนุมูลอิสระนี้ส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์เพศชาย รวมถึงระบบการสร้างสเปิร์ม ทำให้สเปิร์มด้อยคุณภาพ ส่งผลต่อการมีบุตรยากค่ะ
.
(3) อ้วน น้ำหนักเกิน
โรคอ้วน (Obesity) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้อรังที่สามารถส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
.
👉(World Health Organization, 2016) องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์ค่าระดับดัชนีมวลกาย (Body Mass Index-BMI) เพื่อใช้เป็นแบบคัดกรองภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน
.
👉ดัชนีมวลกาย หมายถึงค่าดัชนีความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูง และน้ำหนักตัว โดยคำนวณจาก...
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยความสูง (เมตรยกกำลังสอง) เพื่อใช้เป็นเกณฑ์คัดกรองภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน
✔โดยค่าดัชนีมวลกายที่มากกว่าหรือเท่ากับ 25 กก./เมตรยกกำลังสอง แสดงว่า เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกิน
✔และค่าดัชนีมวลกายที่ 30 กก./เมตรยกกำลังสองหมายถึง ภาวะอ้วน
👉สำหรับประชากรในเอเชียได้กำหนดจุดตัดในการแบ่งกลุ่ม
✔โดยที่ค่าดัชนีมวลกาย ที่ 23 กก./เมตรยกกำลังสอง หมายถึง ภาวะน้ำหนักเกิน
✔และค่าดัชนีมวลกายที่ 25 กก./เมตรยกกำลังสองแสดงถึง ภาวะอ้วน
ผู้ชายที่อ้วนไปส่งผลต่อคุณภาพของสเปิร์มดังนี้
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Reproduction เมื่อปี 2017 เปิดเผยสาเหตุที่ "ภาวะอ้วน" ส่งผลต่การทำลายคุณภาพของสเปิร์ม และส่งผลต่อการมีบุตรยากดังนี้ค่ะ
✔โรคอ้วนนำไปสู่ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ
✔โรคอ้วนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย
โดยการอักเสบในร่างกายจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสเปิร์ม (Sperm maturation) เนื่องจากเมื่อร่างกายอักเสบจะส่งผลไปเปลี่ยนสภาวะในหลอดเก็บตัวอสุจิทำให้รบกวนการเจริญเติบโตของสเปิร์มและลดความสามารถในการปฏิสนธิของสเปิร์
มลงอีกด้วย
✔โรคอ้วนเสริมอนุมูลอิสระ
โรคอ้วนส่งผลต่อการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอนุมูลอิสระจะทำลาย DNA ของสเปิร์ม ลดอัตราการเคลื่อนไหว และลดปฏิกิริยา acrosome reaction (คือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อสเปิร์มเจาะเข้าผสมกับไข่ได้)
✔โรคอ้วนลดคุณภาพของสเปิร์ม
โดยจากงานวิจัยพบว่าโรคอ้วนจะ
•ลดความหนาแน่นของสเปิร์ม (decreased sperm concentration)
•ลดอัตราการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม (decreased sperm motility
•เพิ่มอัตราความผิดปกติของรูปร่างของสเปิร์ม (increased abnormal sperm morphology)
✔โรคอ้วนทำลาย DNA ของสเปิร์ม
จากการศึกษาพบว่าโรคอ้วนส่งผลให้เกิด DNA fragmentation ในสเปิร์ม (DNA แตกหัก) ซึ่ง DNA ในสเปิร์มนี้คือสิ่งสำคัญที่ชี้วัดคุณภาพของสเปิร์ม ทั้งในเรื่อง
•อัตราการปฏิสนธิ (fertilization rate)
•คุณภาพของตัวอ่อน (embryo quality)
•อัตราการตั้งครรภ์ (pregnancy rate และ
•อัตราการแท้ง (miscarriage rate)
.
(4) เบาหวาน
การเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 และประเภท 2 สามารถส่งผลต่อชีวิตได้หลายแง่มุม ซึ่งหมายความรวมถึงเรื่องเซ็กส์และสุขภาพ ทั้งนี้มีการประมาณไว้ว่า 50% ของผู้ชาย และ 25% ของผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์บางประการ ปัญหาดังกล่าวสามารถเป็นได้ตั้งแต่การเบื่อเซ็กส์ และการมีความต้องการทางเพศต่ำ ไปจนถึงการติดเชื้อในช่องคลอดหรือภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถมีปัญหาทางเพศ เพราะเส้นประสาทและหลอด
เลือดฝอยได้รับความเสียหาย ซึ่งมันจะทำให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศน้อยลง และนั่นก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ในที่สุด นอกจากนี้โรคเบาหวาน และการรักษาระดับของน้ำตาลกลูโคส (Glucoregulation) ยังส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเพศ การเกิดภาวะดื้ออินซูลินสามารถส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลให้คุณมีความต้องการทางเพศลดลง ทั้งนี้ผู้ชายและผู้หญิงที่ร่างกายควบคุมระดับของน้ำตาลได้ไม่ดี มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาที่เกี่ยวกับการควบคุมฮอร์โมนและสุขภาพทางเพศ
จากข้อมูลของ The Canadian Diabetes Association มีการระบุว่า 50 - 70% ของผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานประสบกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 1 มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะดังกล่าวในช่วงแรกๆ ของชีวิตมากกว่าคนทั่วไป ในขณะที่ผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ประสบปัญหานี้ภายหลังเพียงเล็กน้อย สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหย่อน
สมรรถภาพมีดังนี้
การไร้สมรรถภาพทางเพศทำให้เจ้าโลกของคุณผู้ชายไม่สามารถแข็งตัวหรือแข็งตัวได้ไม่นาน ในบางกรณีการไร้สมรรถภาพทางเพศอาจเป็นสัญญาณเตือนแรกของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะผู้ชายที่เป็นโรคนี้มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาไร้สมรรถภาพทางเพศ 2 - 3 เท่า
.
(5) ปัญหาเกี่ยวกับอัณฑะ
อัณฑะทำหน้าที่ผลิตและเก็บอสุจิ หากถุงอัณฑะได้รับความเสียหาย ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของตัวอสุจิได้ โดยปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับอัณฑะที่ส่งผลต่อการผลิตอสุจินั้น ประกอบด้วย
•การติดเชื้อที่อัณฑะ
•มะเร็งอัณฑะ
•ภาวะลูกอัณฑะไม่ลงถุง (Undescended Testicles) ซึ่งลูกอัณฑะไม่ลงไปอยู่ในถุงอัณฑะ ทำให้ถุงอัณฑะหย่อน
•หลอดเลือดดำอัณฑะขอด (Varicocele) โดยหลอดเลือดดำตรงอัณฑะจะใหญ่ และทำให้อุณหภูมิของอัณฑะสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อจำนวนและรูปร่างของอสุจิ
•ความผิดปกติเกี่ยวกับอัณฑะที่มีมาแต่กำเนิด
•การเข้ารับผ่าตัดอัณฑะ
•การได้รับบาดเจ็บที่อัณฑะ โดยอาจทำให้จำนวนอสุจิลดลง
.
(6) ปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งอสุจิ
ปัญหาเรื่องการหลั่งนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. หลั่งเร็ว (Premature Ejaculation)
การหลั่งเร็วนับเป็นปัญหาการหลั่งอสุจิที่พบได้มากที่สุด โดยผู้ชายจะหลั่งอสุจิเร็วเกินไปขณะมีเพศสัมพันธ์ สาเหตุที่ทำให้หลั่งเร็วเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก ต่อมไทรอยด์ การใช้สารเสพติด ภาวะซึมเศร้า ความเครียด ปัญหาความสัมพันธ์ หรือความกังวลเกี่ยวกับการร่วมเพศ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคู่รักใหม่ หรือผู้ที่เคยมีปัญหาในการร่วมเพศมาก่อน
👉หลั่งเร็วส่งผลต่อการมีบุตรยากอย่างไร❓
การหลั่งเร็วสร้างความหงุดหงิด วิตกกังวล จนเกิดเป็นความทุกข์ที่อาจนำไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศ หรือขาดความมั่นใจจนทำให้
ลดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางเพศ หากการหลั่งเร็วเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล แต่หากเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนสร้างปัญหาให้เจ้าตัวและคู่ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา #เพราะการหลั่งเร็วอาจเกิดปัญหามีลูกยากในกรณีที่อสุจิไม่ได้เข้าไปภายในช่องคลอดของฝ่ายหญิงจากพฤติกรรมการหลั่งเร็ว
2. หลั่งช้า (Delayed Ejaculation)
ผู้ที่หลั่งอสุจิช้าหรือไม่สามารถหลั่งอสุจิได้เลยนั้น อาจมีสาเหตุมาจากการป่วยหรือใช้ยา โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน (โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 1) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ได้รับการผ่าตัดที่กระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก หรืออายุมาก อาจประสบปัญหานี้ได้ ส่วนผู้ที่ใช้ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาต้านโรคจิต ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดแบบแรง ก็เสี่ยงเกิดภาวะหลั่งช้าเช่นกัน
👉#หลั่งช้าส่งผลต่อการมีบุตรยากอย่างไร❓
การหลั่งช้า เป็นอีกหนึ่งปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้ชายที่มักกระทบกระเทือนความรู้สึกของคู่รักไม่เบา หากคุณผู้ชายท่านใดที่พบว่าตัวเองใช้เวลาเป็นชั่วโมง หรือไม่ว่าจะทำวิธีใดๆ แล้วก็ไม่เสร็จ คุณอาจกำลังพบปัญหากับอาการหลั่งช้าเข้าแล้ว โดยมีการศึกษาระบุว่าหากคุณมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 14-30 นาที หากเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพาผู้หญิงของคุณลากเวลายาวเกินเวลานี้ มันจะเริ่มทำให้คุณผู้หญิงเจ็บ เพราะเวลาที่นานเกินไปมันกลับทำให้อารมณ์ร่วมเริ่มหมดไป และแทนที่ด้วยความเจ็บ
👉หากใครที่ใช้เวลาเกิน 30 นาที คุณมีปัญหาแล้วแน่ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะทำวิธีใด ไม่ว่าจะใช้มือช่วย หลั่งข้างนอก หรือทำอย่างไรก็ไม่เสร็จ นั่นคือคุณมีอาการหลั่งช้า ซึ่งกระทบต่อความสัมพันธ์แน่นอน อย่ารอช้ารีบปรึกษาแพทย์ด่วน เพื่อหาทางแก้ที่ถูกวิธี
👉สำหรับกรณีที่ไม่สามารถหลั่งอสุจิได้เลย แน่นอนว่าการปฏิสนธิตามธรรมชาติย่อมไม่เกิดขึ้น แต่สามารถมีลูกได้ด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว โดยฝ่ายชายต้องทำการผ่าตัดเล็กที่ลูกอัณฑะเพื่อเก็บตัวอสุจิออกมา (TESE) แล้วนำไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงต่อไป
3. หลั่งย้อนทาง (Retrograde Ejaculation)
ปัญหานี้จัดเป็นปัญหาการหลั่งอสุจิที่พบได้ไม่บ่อย โดยอสุจิจะไหลย้อนกลับไปที่กระเพาะปัสสาวะ ทำให้หลั่งอสุจิออกมาน้อยมากหรือไม่มีอสุจิหลั่งออกมาเลย รวมทั้งปัสสาวะมีสีขุ่นหลังมีเพศสัมพันธ์ การหลั่งย้อนทางเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นประสาทรอบกระเพาะปัสสาวะส่วนต้น ซึ่งเป็นช่วงต่อระหว่างท่อปัสสาวะกับกระเพาะปัสสาวะได้รับความเสียหาย ส่งผลให้รอยต่อดังกล่าวเปิดออก และอสุจิไหลย้อนกลับไปที่กระเพาะปัสสาวะ แทนที่จะไหลออกไปยังท่อปัสสาวะตามปกติ โดยผู้ที่ได้รับการผ่าตัดต่อม
ลูกหมากหรือกระเพาะปัสสาวะ สามารถเกิดภาวะนี้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือใช้ยารักษาความดันโลหิตสูง ก็สามารถมีปัญหาหลั่งอสุจิย้อนทางได้
👉หลั่งย้อนทางส่งผลต่อการมีบุตรยากอย่างไร❓
แน่นอนว่าเมื่ออสุจิไหลย้อนทาง ทำให้มีอสุจิจำนวนน้อยหรือไม่มีน้ำอสุจิไหลออกมาแล้วเข้าไปในช่องคลอดได้เลย กรณีนี้การปฏิสนธิตามธรรมชาติก็เกิดได้น้อยมากเช่นกันค่ะ อย่างไรก็ตาม สามารถทำเด็กหลอดแก้วได้ โดยใช้วิธีเก็บอสุจิจากอัณฑะโดยตรง (TESE) แล้วนำไปผสมกับไข่ตามที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ
.
(7) ทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
การทานอาหารส่งผลต่อคุณภาพของสเปิร์ม การทานอาหารพวก junk food ของมันของทอดที่อุดมไปด้วยไขมันทรานส์ ส่งผลให้สเปิร์มด้อยคุณภาพ
คุณผู้ชายสามารถบำรุงสเปิร์มได้ด้วยการทานอาหารที่มีโภชนาการสูง ได้แก่โปรตีน ผักผลไม้ และเน้นเสริมแร่ธาตุบำรุงสเปิร์ม เช่น Zinc แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น
✔เซซามิน พบมากในงาดำ
✔ไลโคปีน จากมะเขือเทศ และ
✔เบต้าแคโรทีน จากแครอท หรือผักผลไม้สีเหลือง ส้ม
ซึ่งแร่ธาตุและสารอาหารเหล่านี้มีงานผลวิจัยศึกออกมาอย่างแพร่หลายว่าช่วยบำรุงสเปิร์มได้ ทั้งในเรื่องของการเพิ่มปริมาณ เพิ่มอัตราการเคลื่อนไหว และปรับปรุงรูปร่างของสเปิร์ม
แม่ๆจึงควรจัดหาอาหารบำรุงสเปิร์มให้สามีด้วยนะคะ ได้แก่ เมล็ดฟักทองที่มี Zinc สูง งาดำ แครอท กล้วย
หอม ผักใบเขียวต่างๆ โปรตีนที่ไม่มีไขมันสูง เช่น อกไก่ ปลา หรือ เวย์โปรตีนเสริมอาหารค่ะ
.
(8) พฤติกรรมทำลายสเปิร์ม
อยากเป็นคถณพ่อต้องลด ละ เลิกพฤติกรรมที่ทำลายสเปิร์มต่อไปนี้
1. สูบบุหรี่
📚มีการศึกษามากมายที่พบว่า การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อคุณภาพของเชื้ออสุจิ โดยทำให้ความเข้มข้นของเชื้ออสุจิลดลง การเคลื่อนที่ของเชื้ออสุจิแย่ลง ทำให้เชื้ออสุจิที่มีรูปร่างปกติมีจำนวนลดลง และทำให้ DNA ภายในเซลล์อสุจิเกิดความเสียหายได้ ดังนี้
#ความเข้มข้นของเชื้ออสุจิ
ความเข้มข้นของเชื้ออสุจิคือจำนวนเชื้ออสุจิที่นับ
ได้ในน้ำอสุจิในปริมาตรหนึ่งๆ
📚มีงานวิจัยพบว่า ความเข้มข้นของเชื้ออสุจิจะลดลงถึง 23% ในผู้ชายที่สูบบุหรี่ประจำ
#การเคลื่อนที่ของเชื้ออสุจิ
การเคลื่อนที่ของเชื้ออสุจิคือความสามารถในการแหวกว่ายของเชื้ออสุจิเข้าไปยังมดลูก หากเชื้ออสุจิเคลื่อนที่ได้ไม่ดี ก็จะส่งผลให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปหาไข่เพื่อปฏิสนธิได้
📚งานวิจัยพบว่า ในผู้ชายที่สูบบุหรี่ เชื้ออสุจิจะมีความสามารถในการเคลื่อนที่ลดลงถึง 13%
#รูปร่างของเชื้ออสุจิ
ลักษณะของเชื้ออสุจิก็คือรูปร่างของเชื้อ
เชื้ออสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจยังเคลื่อนที่ไปยังไข่ได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิได้ ในผู้ชายที่สูบบุหรี่มักพบเชื้ออสุจิที่มีรูปร่างปกติจำนวนน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่สูบบุหรี่
#DNA ของเชื้ออสุจิ
มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่า DNA ในเชื้ออสุจิของผู้ชายที่สูบบุหรี่จะมีความเสียหายมากขึ้น ซึ่งความเสียหายของ DNA นี้อาจทำให้การปัญหาในการปฏิสนธิ การเจริญและการฝังตัวของตัวอ่อน รวมถึงทำให้อัตราการแท้งบุตรสูงขึ้นด้วย
2 ดื่มแอลกอฮอล์
📚มีการศึกษาพบว่าการดื่มเบียร์ประมาณ 5 แก้ว/สัปดาห์ส่งผลต่อคุณภาพของสเปิร์ม โดยอ้างจากงานวิจัยที่สำรวจชาวเดนมาร์กที่มีสุขภาพดี 1,221 คนซึ่งแพทย์ได้เก็บอสุจิและตรวจเลือด พร้อมกับตอบคำถามเกี่ยวกับนิสัยการดื่มของผู้ถูกสำรวจ
ผลการทดลองสรุปว่า
•สเปิร์มของชายที่เพิ่งดื่มแอลกอฮอล์ก่อนที่ทดสอบ 1 อาทิตย์ จะมีคุณภาพต่ำ
•ขณะที่ชายที่ดื่มอย่างหนัก 1 เดือนก่อน แต่ไม่ดื่มหรือ
ดื่มน้อยก่อนทำการทดสอบกลับมีผลของคุณภาพสเปิร์มปกติ ซึ่งแสดงว่าคุณภาพอสุจิจะได้รับการฟื้นฟูถ้าระดับแอลกอฮอล์ลดลง
แอลกอฮอล์ไม่ว่าจะได้จากการดื่มเหล้า ไวน์หรือเบียร์นั้น จะส่งผลต่อการผลิตสเปิร์มทำให้ผลิตสเปิร์มได้น้อย และสเปิร์มที่ผลิตออกมาไม่มีคุณภาพ มีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งไม่สามารถเข้าไปเจาะไข่ได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากค่ะ
3. นอนดึก นอนน้อย
การนอนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อระบบการทำงานของร่างกาย การนอนส่งผลต่อคุณภาพของชีวิตโดยรวมทั้งหมด สำคัญที่สุดคือเรื่องสุขภาพซึ่งรวมไปถึงภาวะเจริญพันธุ์ด้วย เพราะการนอนหลับที่เพียงพอ ส่งผลต่อระบบการทำงานของสมองและอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายรวมไปถึงควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเพศที่เป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างสเปิร์มที่มีคุณภาพของคุณผู้ชายด้วยค่ะ
😴รู้ไหม❓ การนอนไม่พอส่งผลต่อฮอร์โมน
สืบพันธุ์ไม่สมดุล
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Sleep Medicine Report เมื่อปี 2016 ศึกษาพบว่าทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
สมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เราหลับ หรือ ตื่น เช่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน และ คอติซอล เป็นสมองส่วนที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศด้วยเช่นกัน ดังนั้นฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ในผู้หญิง และ ฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตสเปิร์มในผู้ชายจึงมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอน
หลับด้วย
😴รู้ไหม❓นอนน้อย หรือ นอนดึกไป ทำลายคุณภาพสเปิร์ม😱
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Medical Science Monitor เมื่อปี 2017
ศึกษาผู้ชายชาวจีนจำนวน 981 คน โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มตามเวลาที่ให้เข้านอนและจำนวนชั่วโมงที่นอนหลับโดยศึกษาต่อเนื่องนาน 3 เดือน
🔸️กลุ่ม A นอนช่วงเวลา 20.00-22.00 น.
🔸️กลุ่ม B นอนช่วงเวลา 22.00-24.00 น.
🔸️กลุ่ม C นอนหลัง 24.00 น.
โดยกำหนดระยะเวลาในการนอนดังนี้
🔸️กลุ่ม 1 นอนน้อยกว่า 6 ชม.
🔸️กลุ่ม 2 นอน 7-8 ชม.
🔸️กลุ่ม 3 นอนมากกว่า 9 ชม.
🎯จากผลการศึกษาได้วิเคราะห์คุณภาพสเปิร์มตามเวลาการเข้านอนและจำนวนชั่วโมงที่นอนดังนี้
👉1. Sperm Count (จำนวนสเปิร์ม) จากการศึกษาพบว่า จำนวนสเปิร์มลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่นอนหลังเที่ยงคืนและนอนน้อยกว่า 6 ชม. เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เข้านอนเร็ว (20.00-22.00) และนอนน้อยกว่า 6 ชม.เหมือนกัน
(C1 vs. A1) เช่นเดียวกับ (C2 vs. A2) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวลาในการเข้านอนส่งผลต่อจำนวนสเปิร์ม
👉2. Sperm Motility (เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของสเปิร์ม)
จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่ม A1, A3, B1, B3 และ C1 มีเปอร์เซ็นต์ของสเปิร์มที่เคลื่อนไหวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งสรุปได้ว่าในด้านการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม ผู้ชายที่นอนน้อยกว่า 6 ชม. หรือ นอนมากกว่า 9 ชม. ส่งผลต่อ sperm motility
👉3.Sperm survival rate (อัตราการมีชีวิตของสเปิร์ม
จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายในกลุ่ม A1, A3, B1, B3 และ C1 มีค่าการมีชีวิตของสเปิร์มลดลงอย่าง
มากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่นอนน้อยกว่า 6 ชม. หรือมากกว่า 9 ชม.นั่นเอง
#งานวิจัยนี้ได้สรุปว่า จำนวนชั่วโมงในการนอน และ การนอนดึกส่งผลต่อคุณภาพสเปิร์ม ทั้งในด้านจำนวน เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว และอัตราการมีชีวิตของสเปิร์ม
📚ปิดท้ายด้วยงานวิจัยของ Boston University School of Public Health เมื่อปี 2016
ศึกษาพบว่า...การนอนที่เพียงพอนั้นควรนอนหลับ 7-8 ชม.ต่อวัน ผู้ชายที่นอนน้อยกว่า 6 ชม.หรือ
นอนมากกว่า 9 ชม.ต่อวัน ส่งผลต่อโอกาสในการทำให้คู่ของตนเองตั้งครรภ์ลดลง 42% ในแต่ละรอบเดือน
.
.
ทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะเป็นการบำรุงสเปิร์มให้มีคุณภาพ มีโอกาสเป็นคุณพ่อง่ายขึ้นค่ะ
Comments