top of page
ค้นหา

20 เมนู อาหารฤทธิ์ร้อน แม่เตรียมท้องต้องรู้



ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่า"อาหาร" เป็นส่วนที่สำคัญในการปรับความสมดุลของร่างกาย จะส่งผลให้ร่างกายมีความแข็งแรงหรืออ่อนแอ หรือก่อให้เกิดโรคทำให้อาการกำเริบหรือทำให้หายจากโรคก็ได้เลยค่ะ ดังนั้น สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพด้วยอาหาร คือควรจะศึกษาว่า อาหารและพืชผักชนิดใดมีฤทธิ์ร้อน ชนิดใดมีฤทธิ์เย็น โดยเฉพาะในคุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ใช้ปรับสมดุลของร่างกายได้ถูกต้องค่ะ


อาหารฤทธิ์ร้อน คืออะไร สำคัญแค่ไหนกับการตั้งครรภ์?


การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อเป็น แม่ๆ ควรพิจารณา ว่าอาหารประเภทไหน ทั้งในด้านโภชนาการ และในด้านปรับความร้อน-เย็น ในร่างกายให้สมดุล หากทานอาหารฤทธิ์เย็นเกินไป หรือ ร้อนเกินไป ก็ส่งผลกับร่างกายและมดลูกได้ จึงจำเป็นต้องปรับให้สมดุลในเรื่องของอาหารในช่วงที่วางแผนตั้งครรภ์


เพราะในช่วงที่เตรียมผนังมดลูกก่อนใส่ตัวอ่อน เป็นช่วงที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของอาหารฤทธิ์อุ่น เนื่องจากต้องการให้มดลูกอุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อน


อาหารฤทธิ์ร้อน คืออะไร?


ของฤทธิ์ร้อน คือสิ่งที่เรารับเข้าร่างกายแล้วทำให้ร่างกายของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้น รวมถึงพวกอาหารรสจัด เค็มจัดหวานจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ก็ถือเป็นอาหารฤทธิ์ร้อนเช่นกันค่ะ


ทำไมฤทธิ์ ร้อน หรือ เย็น ของอาหารจึงมีความสำคัญกับการเตรียมตัวตั้งครรภ์?


อาหารฤทธิ์ร้อน-เย็นอาหารมีส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการปรับความสมดุลของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีความแข็งแรงหรืออ่อนแอ ก่อให้เกิดโรค ทำให้อาการแย่ลง หรือทำให้หายจากโรค หรือบำบัดบรรเทาอาการของโรค ดังนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้สนใจดูแลสุขภาพด้วยอาหารควรจะได้ศึกษาคือ อาหารและพืชผักชนิดใดมีฤทธิ์ร้อน ชนิดใดมีฤทธิ์เย็น เพื่อจะได้ใช้ปรับสมดุลของร่างกายได้ถูกต้อง


20 เมนูอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เหมาะสำหรับคุณแม่เตรียมตั้งครรภ์


วันนี้ครูก้อยขอหยิบยก 20 อาหาร ฤทธิ์อุ่น บำรุงมดลูกมาฝากค่ะ และจะหยิบยก ตัวอย่างของอาหารฤทธิ์เย็นให้ในโพสต์ถัดไป


1.แครอท


แครอท ผักหัวสีส้มที่มากด้วยประโยชน์ อุดมด้วยสารเบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) โดยเฉพาะบริเวณเปลือกแก่ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ปริมาณสูงได้ รวมทั้งยังมีคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ไขมัน เส้นใย และแร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 วิตามินซี


แครอท เป็นพืชที่มีรสชาติหวานกรอบและมีประโยชน์มากมายเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เช่น บำรุงสายตา ลดระดับคลอเรสเตอรอล และไขมันในเลือด เพิ่มความแข็งแรงให้กระดูก จึงนิยมนำมารับประทานทั้งแบบสด แบบปรุงสุก หรือคั้นเป็นน้ำดื่ม ไม่เพียงเท่านั้นแครอทยังมีคุณประโยชน์ที่เหมาะสม อย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงอีกเตรียมตั้งครรภ์


2.น้ำวีทกราส


น้ำวีทกราส (Wheatgrass juice) เครื่องดื่มสีเขียวเข้มมาจาก Wheatgrass คือ ต้นอ่อนข้าวสาลี นั่นเอง จากการวิเคราะห์ปริมาณสารอาหารในต้นอ่อนข้าวสาลีพบว่า ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ถึงร้อยละ 70 นอกจากนั้นยังพบวิตามินเอ ซีและอี แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม มีโปรตีนสูงและกรดอะมิโนกว่า 17 ชนิด ต้นอ่อนข้าวสาลี มีฤทธิ์ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกกับสรรพคุณด้านเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ส่งผลให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวกมากขึ้น


นอกจากนั้นยังสามารถใช้สำลีชุบน้ำสกัดต้นอ่อนข้าวสาลี มาถูบริเวณผิวหน้าและลำคอ เพื่อขยายหลอดเลือดกระตุ้นการไหลเวียนบนใบหน้าได้เช่นกัน ด้วยคุณสมบัติของต้นอ่อนข้าวสาลีที่ทรงประสิทธิภาพในการล้างสารพิษ ส่งผลให้เลือดสะอาด ออกซิเจนและเม็ดเลือดแดงอยู่ในระดับสูง ทำให้มะเร็งที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ออกซิเจนต่ำไม่สามารถเติบโตได้ จึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ดีค่ะ


คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่เป็นองค์ประกอบหลักทำให้ Wheatgrass โดดเด่น ช่วยในการทำความสะอาดตับ และดีท็อกซ์ล้างสารพิษจำพวกโลหะหนักจากร่างกาย เพราะตับคือป้อมปราการด่านแรกที่ช่วยป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ด้วยสารประกอบส่วนต่างๆของต้นอ่อนข้าวสาลี มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูและล้างสารพิษออกจากตับ ช่วยให้ตับสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


3.บีทรูท


เนื้อของบีทรูทเต็มไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีรวม ตลอดจนมีสารสีแดงในหัว คือ เบทานิน (betanin) เป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้ส่วนประกอบสีแดงของบีทรูท หรือที่เรียกว่า สารเบทานิน (Betanin) อุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ถึง400% จึงช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง


4.เมล็ดฟักทอง


เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แมกนีเซียม ซิงก์ และกรดไขมัน ซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในสัตว์ที่ชี้ว่า น้ำมันเมล็ดฟักทองอาจช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลได้ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยเสียงสำคัญต่อการเป็นโรคหัวใจ มากไปกว่านั้นงานวิจัยที่ศึกษาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยให้กลุ่มตัวอย่างกินอาหารเสริมน้ำมันเมล็ดฟักทอง ผลการวิจัยพบว่าช่วยลดค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิค (Diastolic blood pressure) ที่เป็นตัวเลขค่าความดันโลหิตด้านล่าง 7% และเพิ่มระดับไขมันดี หรือไขมันเอชดีแอล (HDL cholesterol) 16% ดังนั้น สารอาหารในเมล็ดฟักทองอาจดีต่อสุขภาพหัวใจ เนื่องจากช่วยลดความดันโลหิต และเพิ่มไขมันดีให้ร่างกาย


5.ถั่วชนิดต่างๆ


พืชตระกูลถั่วที่เปี่ยมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารต่างๆ หลายชนิด กินเป็นอาหารว่างก็ทำให้อิ่มท้องได้ แถม ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศชายเป็นเพราะแมกนีเซียมที่มีในปริมาณมากในถั่วลิสง ที่จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และยังช่วยให้การทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ดีขึ้น


4.งาดำ


งาดำ ถือเป็นซูเปอร์ฟู้ดมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง จึงทำให้เราได้เห็นว่าในปัจจุบันมีการนำงาดำมาสกัดเป็นอาหารเสริมบำรุงสุขภาพมากมาย โดยประโยชน์ของงาดำมีดังนี


  • ธาตุทองแดงที่อยู่ในงาดำมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ นอกจากนี้ธาตุทองแดงยังมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งคอลลาเจนนั้นสำคัญต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ข้อต่อ กระดูกอ่อน และหลอดเลือดให้แข็งแรง

  • บำรุงผิวพรรณและกระดูก งาดำขึ้นชื่อว่าเป็นธัญพืชอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งแคลเซียมที่อยู่ในงาดำนั้นมีมากกว่านมถึง 6 เท่า นอกจากนี้ก็ยังมีสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพิ่มมวลกระดูก จึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน ขณะที่วิตามินอีที่อยู่ในงาดำก็ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงผิวพรรณให้นุ่มชุ่มชื้น หากรับประทานเป็นประจำรับรองได้เลยว่ากระดูกแข็งแรง ผิวพรรณดี ห่างไกลจากริ้วรอยแห่งวัย ดูเด็กลงได้อีกหลายปีเลย

  • ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด สารเซซามีนและสารเซซาโมลีน เป็นไฟเบอร์ในกลุ่มลิกแนน (Lignans) ที่มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้เป็นสารที่อุดมอยู่ในงาดำ นอกจากนี้ในงาดำก็ยังอุดมด้วยสารไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอเลสเตอรอล แต่ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพ ยิ่งรับประทานก็ยิ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้อีกด้วย

  • บำรุงหัวใจ เพราะงาดำสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ จึงทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงขึ้น เพราะเมื่อร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลง ก็จะส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจสะอาดขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดก็ดีขึ้น ลดความเสี่ยงได้ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคความดันโลหิตสูง


5.เมล็ดอัลมอนด์


อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีช่วยเพิ่มไขมันดีและช่วยลดในมันเลวในร่างกาย มีกรดโฟลิก (Folic Acid) ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับทารกในครรภ์


6.ทับทิมแดง


ช่วยในการฟอกเลือด ทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งยังสามารถช่วยปรับฮอร์โมนในคนวัยทอง และป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย


7.กระเจี๊ยบแดง


กระเจี๊ยบแดงถือเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนดอก ส่วนต้น หรือส่วนใบ ล้วนแต่สามารถนำมาเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับทุกคนได้


กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกมีสารสีแดงจําพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) จึงทําให้มีสีม่วงแดง นอกจากนี้ ยังมีกรดอินทรีย์ เช่น กรดแอสคอบิก (ascorbic acid) กรดซิตริก (citric acid) กรดมาลิก (malic acid) และกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) ที่ทำให้กระเจี๊ยบแดงมีรสเปรี้ยว


กระเจี๊ยบแดงมีสารต่างๆ ดังที่กล่าวมา จึงทำให้กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่หลากหลาย เช่น การขับปัสสาวะ ฤทธิ์ลดความดันโลหิตในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นต้น


8.น้ำมันพืช


น้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารโดยทั่วไปแล้วมี 2 ประเภท คือ น้ำมันมะกอก น้ำมันคาร์โนล่า ในอดีตนั้นน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารมีแค่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว แต่ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้มีการผลิตน้ำมันออกมาหลากหลายชนิด ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันจากดอกเมล็ดทานตะวัน และน้ำมันปาล์มโอเลอิน และน้ำมันพืชก็เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติ เป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันจากสัตว์ และยังได้รับความนิยมในการนำมาบริโภคอย่างมากอีกด้วย


9.ปลาแซลมอน


ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ ช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล ปลาแซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 โปรตีน วิตามินบี วิตามินดี โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารประเภทแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ปลาแซลมอนจึงอาจเป็นมากกว่าเมนูอาหาร แต่อาจมีคุณสมบัติต้านโรคได้ด้วย


ไขมันดีในปลาแซลม่อนช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากคราบไขมันเกาะตัวภายในผนังหลอดเลือดหัวใจจนหลอดเลือดตีบและอุดตัน ทำให้ปิดกั้นการไหลเวียนของกระแสเลือดและเกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ตามมา หากมีไขมันสะสมในเลือดสูงโดยเฉพาะไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ก็ทำให้ร่างกายเสี่ยงเผชิญโรคนี้ได้ โดยเนื้อปลาแซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและอาจช่วยชะลอการสะสมของคราบไขมันได้


มีงานวิจัยที่ให้ผู้ทดลองซึ่งมีไขมันในเลือดในระดับปกติถึงระดับมีไขมันเกินกว่าปกติเล็กน้อยบริโภคปลาแซลมอน วอลนัท และอาหารควบคุมที่ไม่มีแซลมอนหรือวอลนัทเป็นเวลาอย่างละ 4 สัปดาห์ ผลที่ได้ คือ เมื่อบริโภควอลนัท ผู้ทดลองมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลรวมและไขมันชนิดไม่ดีลดลงมากที่สุด ส่วนการบริโภคเนื้อปลาแซลมอนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในขณะที่ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) เมื่อเปรียบเทียบกับการบริโภคอาหารควบคุมที่ไม่มีอาหาร 2 ชนิดนี้


ในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้ตนเองกับทารกในครรภ์มีสุขภาพดีและคลอดบุตรอย่างปลอดภัย คุณแม่จำเป็นต้องดูแลสุขภาพตนเองเป็นพิเศษ การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อร่างกาย เชื่อว่าการบริโภคปลาแซลมอนอาจบำรุงสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ได้ด้วย โดยมีการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 20 จำนวน 62 คน บริโภคเนื้อปลาแซลมอน 150 กรัม 2 ครั้ง/สัปดาห์ ในขณะที่หญิงตั้งครรภ์อีก 61 คน บริโภคอาหารตามปกติไปจนคลอดบุตร ผลการทดลองพบว่า การบริโภคปลาแซลมอนช่วยเพิ่มกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตและการบำรุงระบบการทำงานส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย


อย่างไรก็ตาม ยังมีอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ให้สารอาหารจำเป็นสำหรับการบำรุงครรภ์ ดังนั้น ผู้ที่ตั้งครรภ์ควรบริโภคปลาหรืออาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนการบริโภคเสมอโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีปัญหาสุขภาพใดๆ อยู่


10.ไข่


แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำให้ลดการบริโภคไข่เนื่องจากไข่มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ปัจจุบันได้มีการศึกษาพบว่าการรับประทานไข่มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นไข่ยังมีทั้งโปรตีน วิตามินบี 12 และ วิตามิน D riboflavin และโฟเลต ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ล่าสุดมีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบริโภคไข่ในระดับปานกลาง (วันละฟอง)ขึ้นไป่ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจในคนที่มีสุขภาพดี สำหรับผู้ที่คุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ดี หรือผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคเบาหวานการรับประทานไข่มากไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้นแนะนำให้เลือกรับประทานไข่ขาว หรือรับประทานไข่ไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์


11.น้ำมะกรูด


มะกรูดเป็นสมุนไพรไทยที่เรารู้จักกันดี มักนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหาร ดูแลด้านสุขภาพและความงาม ให้ประโยชน์และสรรพคุณหลายอย่าง มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระสูง และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ลดการอักเสบ ทำให้มดลูกอุ่น


12.ผักโขม


ผักขม หรือ ผักโขม (Slender amaranth) เป็นผักที่ขึ้นตามแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นริมทาง ป่าละเมาะ ป่ารกร้าง รวมทั้งสวนผักผลไม้เป็นต้น ผักขมยังได้รับการนิยมนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ผัดผักโขม แกงจืดผักโขม ผักโขมอบชีส ขนมปังหน้าผักโขมอบชีส เป็นต้น


ผักโขมเป็นผักที่ให้คุณประโยชน์และสรรพคุณทางยามากมาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง ความดันโลหิตสูง ช่วยขับปัสสาวะ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากผักโขมมีทั้งโปรตีน วิตามิน กรดอะมิโน และแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น


13.กะหล่ำปลี


กะหล่ำปลีเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินหรือแร่ธาตุ ที่มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ค่าดัชนีน้ำตาลในกะหล่ำปลีหนึ่งถ้วยก็ยังมีแค่เพียง 2 กรัมเท่านั้น ส่วนแคลอรีนั้น กะหล่ำปลี 100 กรัมก็มีปริมาณแคลอรีอยู่ที่ 25 กรัมค่ะ


14.พริกไทย


มีน้ำมันหอมระเหย 1 - 2.5 % มีสารอัลคาลอยด์หลัก คือ Piperidine และ Pipercanine ประมาณ 5 - 9 % ซึ่งเป็นตัวทำให้เผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน พริกไทยอ่อนจะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่าพริกไทยดำ สำหรับสารอาหารในพริกไทย มีโปรตีน 11 % คาร์โบไฮเดรต 65 % แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน และวิตามินซี มีฤทธิ์ในการช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้ ลดการเกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร


ปัจจุบันมีผลการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกายืนยันว่า พริกไทยดำสามารถลดความอ้วนได้จริงและสามารถลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากมีส่วนประกอบของสาร"ไพเพอรีน" ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านความอ้วน นอกจากนี้จุดเด่นของพริกไทยในเรื่องความฉุนและรสชาติที่เผ็ดร้อนยังช่วยในการควบคุมการก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง ทำลายเซลล์ไขมันเก่าที่สะสมอยู่ภายในร่างกายให้มีจำนวนลดลงด้วยจึงกลับมาอ้วนได้ยากขึ้น พริกไทยยังเข้าไปกระตุ้นการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหารทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานที่ได้รับจาการรับประทานอาหารไปใช้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสะสมของไขมันซึ่งเป็นสำเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความอ้วน


พริกไทยดำมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้ แก้ปวด แก้อักเสบ เป็นต้น ทางตำราจีนจะใช้พริกไทยดำในการรักษาโรคท้องเดินจากอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ ส่วนน้ำมันในพริกไทยดำ (สารพิเพอรีน) ก็นำมาเจือจางกับน้ำ เอามาสูดดม หรือทาถูผิวหนัง เพื่อลดอาการไข้ หนาวสั่น ทำให้หายใจโล่งขึ้น และฆ่าเชื้อโรคได้ดี สามารถนำมาผสมกับน้ำมัน แล้วนวดบริเวณที่ปวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้กลิ่นของพริกไทยยังเข้าไปกระตุ้นสมองให้รู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ ส่วนในตำราไทยจะนำพริกไทยดำมาทำเป็นสมุนไพรเพื่อแก้อาการจุกเสียด แน่นเฟ้อ จากอาหารไม่ย่อย และแก้อาการอ่อนเพลีย


15.กุ้ยช่าย


อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาก จึงทำให้กุยช่ายได้รับความนิยมในการนำมากินอย่างแพร่หลาย โดยสารอาหารสำคัญที่พบในกุยช่าย ได้แก่ ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 136.79 ไมโครกรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 46 มิลลิกรัม และเส้นใย 3.9 กรัม เป็นต้น


16.หน่อไม้ฝรั่ง


หน่อไม้ฝรั่ง เป็นแหล่งของไนอะซิน ช่วยในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เห็นหน่อไม้ฝรั่งมีวิตามินอีเพียบนะจ๊ะ และวิตามินอีเหล่านี้ก็จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงดูแลผิวพรรณ กำจัดสารอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราด้วยนะ และเพื่อการดูดซึมวิตามินซีจากหน่อไม้ฝรั่งให้เต็มที่มากที่สุด นักโภชนาการก็แนะนำให้กินหน่อไม้ฝรั่งคู่กับน้ำมันมะกอกด้วยนะคะ


หน่อไม้ฝรั่งจัดเป็นอาหารบำรุงครรภ์ที่ดีชนิดหนึ่ง เพราะหน่อไม้ฝรั่ง (ทำให้สุก) 1 ทัพพี ให้โฟเลตสูงถึง 60.8 ไมโครกรัมเชียวนะคะ ซึ่งเจ้าโฟเลตนี้ก็มีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ อีกทั้งยังช่วยบำรุงเลือด บำรุงสมอง และเป็นสารสำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายด้วยนะ นั่นแปลว่าต่อให้ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์ การรับประทานโฟเลตก็สำคัญกับร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ.


อย่างที่บอกค่ะว่าโฟเลตมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ซึ่งในหน่อไม้ฝรั่งก็มีโฟเลตอยู่สูงเช่นกัน ดังนั้นอยากสมองใสปิ๊ง ไม่เสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม ก็รับประทานหน่อไม้ฝรั่งกันเถอะ แถมยังช่วยดูดซึมแคลเซียม เพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีวิตามินเค ที่เป็นสารช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากอาหารและเครื่องดื่มได้ดีขึ้น อีกทั้งวิตามินเคยังดีต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย มีส่วนช่วยให้เลือดมีความแข็งตัว คนที่เลือดไหลไม่หยุด หรือไหลแล้วหยุดยาก กรณีนี้วิตามินเคในหน่อไม้ฝรั่งก็จะช่วยให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลได้ดีขึ้น


17.คะน้า


ประโยชน์ของคะน้ามักจะนำส่วนของลำต้น ก้านใบ และใบมาประกอบอาหาร สามารถกินได้ตั้งแต่ต้นยังมีขนาดเล็กจนกระทั่งออกดอก สารสีเขียวในผักคะน้ามีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง ช่วยให้เซลล์ทำงานดีขึ้น ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย กำจัดสารพิษตกค้าง และช่วยลดอาการภูมิแพ้ต่างๆ นอกจากสารสีเขียวแล้ว ผักคะน้ายังมีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย


18.ข้าวบาร์เลย์


ลดระดับน้ำตาลในเลือด การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงอย่างข้าวบาร์เลย์ โดยเฉพาะเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ จะช่วยเพิ่มความหนืดของสารภายในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งอาจช่วยลดอัตราการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ รวมทั้งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้


19.ขิงดำ


คุณแม่หลายๆ ท่านอาจจะไม่ชอบในกลิ่นหรือรสร้อนของมัน แต่ทราบไหมคะว่า ขิงมีประโยชน์มากทีเดียวค่ะ ประกอบด้วย

  • ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดริ้วรอย

  • มีส่วนช่วยในการป้องกัน ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

  • ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมี

  • ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยปรับสภาพภาวะในร่างกายที่มีความเย็น ให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี มดลูกอุ่น ติดลูกง่ายขึ้น



ตังกุยสด มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ บำรุงตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง บำรุงเลือด ฟอกเลือด ช่วยป้องกันภาวะเลือดจาง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น อีกทั้งยังพบว่าเหง้าของตังกุยมีวิตามินบี 2 ที่ช่วยให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว แก้ปวดศีรษะ แก้วิงเวียน ใจสั่น ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำไม่ให้หลงลืมง่าย และยังเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนจึงช่วยแก้อาการหนาวได้ เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัด แก้หืดหอบ ขับเสมหะ ช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ ลดอาการปวดประจำเดือนที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูก รักษาประจำเดือนที่เป็นลิ่ม ช่วยขับน้ำคาวปลา ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ได้ไวขึ้น ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ บรรเทาอาการช่องคลอดแห้งในผู้หญิงวัยทอง ป้องกันการเกิดซีสต์ในรังไข่และมดลูก รวมทั้งเป็นตัวช่วยทดแทนฮอร์โมนเพศหญิง


อย่างไรก็ดี คุณแม่หลายๆ ท่านคงเห็นแล้วใช่มั้ยคะว่า มีวัตุดิบอาหารและผักมากมายที่มีฤทธิ์ร้อน และคุณแม่สามารถเลือกรับประทานได้ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คุณแม่ต้องคอยนึกถึงเสมอก็คือ ต้องรับประทานอาหารฤทธิ์ร้อนเช่นนี้ให้อยู่ในปริมาณเหมาะสม ทั้งร้อนและเย็น เพื่อที่จะให้ร่างกายเกิดความสมดุล และพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ค่ะ


บทความที่น่าสนใจ


ดู 4,592 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page