top of page
ค้นหา

ก่อนใส่ตัวอ่อน อย่าลืมทำสิ่งเหล่านี้! 20 ข้อที่คุณแม่ต้องเตรียมใจ เตรียมกายให้พร้อม

การใส่ตัวอ่อน (Embryo Transfer) เปรียบเสมือน “วันปลูกต้นกล้า” ในดินที่คุณแม่เตรียมมาอย่างดีมาตลอดรอบการทำเด็กหลอดแก้ว ทุกหยดเลือด น้ำตา ความพยายาม และความหวัง ถูกส่งต่อมายัง “วันสำคัญที่สุดของรอบ” นี้ ดังนั้นสิ่งที่คุณแม่ทำก่อนวันใส่ตัวอ่อน มีผลโดยตรงต่อโอกาสการฝังตัวและตั้งครรภ์ค่ะ


การใส่ตัวอ่อนคืออะไร?


Embryo Transfer (ET) คือขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF หรือ ICSI) ที่สำคัญมากที่สุดค่ะ เพราะเป็น "วินาทีที่ชีวิตเล็ก ๆ กำลังจะเดินทางเข้าสู่ร่างกายของแม่"


กระบวนการคืออะไร?

หลังจากคุณหมอทำการเก็บไข่ของคุณแม่ไปปฏิสนธิกับอสุจิในห้องแล็บแล้ว จะเกิดเป็น “ตัวอ่อน” และเพาะเลี้ยงต่อประมาณ3 วัน (เรียกว่า Day 3 embryo) หรือ 5 วัน (เรียกว่า Blastocyst หรือ Day 5 embryo)


เมื่อตัวอ่อนเติบโตถึงระยะที่เหมาะสม คุณหมอจะทำการ ใส่ตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ด้วยเครื่องมือพิเศษ (catheter) ที่มีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ และนุ่มมาก


 ขั้นตอนนี้ไม่ต้องวางยาสลบ

 ใช้เวลาสั้นมาก เพียง 5-10 นาที

 ไม่เจ็บ แต่อาจรู้สึกตึงเล็กน้อย


 อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ “ใส่ติด” หรือ “ไม่ติด”?

แม้ตัวอ่อนจะสวยระดับเกรด A แต่หากโพรงมดลูกยังไม่พร้อม หรือสภาวะร่างกาย-จิตใจยังไม่สมดุล โอกาสฝังตัวก็อาจไม่เกิดขึ้น ปัจจัยหลักที่มีผล ได้แก่:

- ความหนาและคุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูก

- ฮอร์โมนในร่างกาย (โดยเฉพาะโปรเจสเตอโรน)

- การไหลเวียนเลือดไปที่โพรงมดลูก

- ภาวะภูมิคุ้มกัน ความอักเสบในร่างกาย

- สุขภาพลำไส้และระบบดูดซึม

- ความเครียดสะสม หรืออารมณ์ไม่สมดุล


 แล้วก่อนใส่ตัวอ่อน ต้องเช็กอะไรบ้าง?

ใส่ตัวอ่อน...ไม่ใช่แค่ “ใส่เข้าไป” แล้วจบ แต่คือการเปิดประตูต้อนรับ “ชีวิตใหม่” และเราต้องทำทุกอย่างให้ “บ้านหลังแรกของลูก” น่าอยู่ที่สุดค่ะ ครูก้อยรวบรวม 20 Checklists สำคัญ ที่คุณแม่ควรทำในช่วง 5-7 วันก่อนใส่ตัวอ่อน เพื่อเสริมโอกาสให้ร่างกายและจิตใจพร้อมที่สุดค่ะ


―――――――――――――――――――――――――――――――


1. นอนหลับลึกให้เพียงพอ ติดต่อกัน 1-2 เดือน


การนอนหลับลึก (Deep Sleep) ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือช่วงเวลาที่ร่างกาย ซ่อมแซม ฟื้นฟู และรีเซ็ตระบบภายในทั้งหมด โดยเฉพาะระบบฮอร์โมน ระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฝังตัวของตัวอ่อน

การนอนหลับลึกอย่างต่อเนื่องมีประโยชน์ที่สำคัญดังนี้:

● ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Melatonin

เป็นสารธรรมชาติที่หลั่งในตอนกลางคืน มีบทบาททั้งในการควบคุมนาฬิกาชีวภาพ และ “ปกป้องเซลล์ไข่และตัวอ่อน” จากอนุมูลอิสระ

● รักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง

เช่น Progesterone และ Estrogen ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกที่อ่อนนุ่มและหนาพอสำหรับการฝังตัว

● ลดฮอร์โมนเครียด (Cortisol)

หากร่างกายพักผ่อนไม่พอ ร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอลมาก ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนการหลั่งฮอร์โมนเพศ และลดโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวสำเร็จ

● เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ภูมิคุ้มกันที่สมดุล (ไม่มากเกินจนต่อต้านตัวอ่อน และไม่น้อยเกินจนติดเชื้อ) ต้องอาศัยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ


วิธีนอนหลับลึกแบบง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกคืน

เข้านอนภายใน 4 ทุ่ม

เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งเมลาโทนินช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 อย่างเต็มที่


ปิดมือถือ/จอสีฟ้า 1 ชั่วโมงก่อนนอน

แสงสีฟ้าจากหน้าจอรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้หลับตื้น


สร้างบรรยากาศห้องให้น่านอน

เช่น แสงสลัว อุณหภูมิพอดี กลิ่นหอมเบา ๆ จากน้ำมันลาเวนเดอร์


ฟังคลื่นสมองบำบัด (Brainwave)

แนะนำคลื่นเสียง 432Hz หรือ 528Hz ซึ่งช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและปรับสมองเข้าสู่โหมดหลับลึก


ฝึกหายใจช้า ๆ ก่อนนอน

สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นับ 1-4 กลั้นไว้ 4 วินาที และผ่อนลมออกนับ 1-6 ทำซ้ำ 5-1


―――――――――――――――――――――――――――――――


2. ทานโพรไบโอติกส์เป็นประจำ 1-2 เดือน


การตั้งครรภ์ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ระดับฮอร์โมน แต่ยังขึ้นอยู่กับ สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย

โดยเฉพาะ ลำไส้และช่องคลอด ซึ่งเป็นสองจุดที่มีผลกับการตั้งครรภ์อย่างลึกซึ้ง

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คือแบคทีเรียดี ที่ช่วยปรับสมดุลไมโครไบโอม เมื่อรับประทานเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อหลายระบบที่เกี่ยวข้องกับการฝังตัวของตัวอ่อน ได้แก่


5 ประโยชน์ของโปรไบโอติกส์สำหรับว่าที่คุณแม่ก่อนใส่ตัวอ่อน

ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

เพราะร่างกายที่มีการอักเสบเรื้อรัง จะทำให้มดลูกไม่เหมาะแก่การฝังตัว


เสริมระบบภูมิคุ้มกันให้สมดุล

ช่วยลดความเสี่ยงที่ภูมิคุ้มกันจะต่อต้านตัวอ่อน (immune rejection)


ฟื้นฟูเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมฝังตัว

โดยเฉพาะสายพันธุ์ Lactobacillus crispatus และ Lactobacillus gasseri ซึ่งพบในช่องคลอดที่พร้อมต่อการตั้งครรภ์


ลดความเสี่ยงการติดเชื้อช่องคลอด/มดลูก

จุลินทรีย์ดีช่วยยับยั้งแบคทีเรียก่อโรค ลดตกขาวผิดปกติ และกลิ่นไม่พึงประสงค์


กระตุ้นการย่อยและดูดซึมสารอาหาร

เมื่อระบบย่อยอาหารดี ร่างกายก็จะดูดซึมวิตามินต่าง ๆ ที่ใช้ในการสร้างฮอร์โมนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ส่งเสริมการฝังตัวของตัวอ่อน เพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีที่มดลูก


ในการประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์การฝังตัวของตัวอ่อนถือเป็นอีกหนึ่งขึ้นตอนที่สำคัญโดยเฉพาะคุณแม่ที่ทำเด็กหลอดแก้ว โดยสมดุลของโพรไบโอติกที่อยู่ในโพรงมดลูกสามารถส่งเสริมการฝังตัวของตัวอ่อนได้


จากงานวิจัย Does dysbiotic endometrium affect blastocyst implantation in IVF patientsที่ตีพิมพ์ใน วารสาร Journal of Assisted Reproduction and Genetics ปี2019


ผลการศึกษาพบว่า อัตราการตั้งครรภ์จากการทำ IVF มีค่าสูงขึ้น ในเยื่อบุมดลูกของผู้หญิงที่มีLactobacillus และ Bifidobacterium อยู่มากกว่าหรือเท่า 80% กล่าวคือ สภาพที่จุลินทรีย์ในเยื่อบุมดลูกมีสมดุลดี (eubiotic) สามารถช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้


เลือกสูตรที่มีสายพันธุ์เฉพาะทางการเจริญพันธุ์

เช่น

Lactobacillus rhamnosus HN001

Lactobacillus crispatus

Bifidobacterium lactis HN019

Lactobacillus acidophilus La-14

Bifidobacterium breve M-16V


ทานตอนท้องว่าง เช้า-เย็น

เพื่อให้แบคทีเรียผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ได้ดีที่สุด


ต่อเนื่องอย่างน้อย 1-2 เดือน ก่อนใส่ตัวอ่อน

และสามารถทานต่อจนตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ เพราะอาจมึช่วยป้องกันการแท้งในระยะเริ่มต้น


―――――――――――――――――――――――――――――――


3. ดื่มน้ำวันละ 2.4–3 ลิตร

น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกายมากกว่า 60% และเกี่ยวข้องกับทุกระบบที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นระบบเลือด ระบบลำไส้ ระบบไหลเวียน รวมถึงฮอร์โมนและการขับของเสีย


5 เหตุผลที่ "น้ำ" จำเป็นสำหรับการเตรียมใส่ตัวอ่อน


1.ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี

เลือดที่ดีต้องไม่ข้นหนืดจนเกินไป การดื่มน้ำช่วยให้เลือดนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกได้ทั่วถึง


2.เพิ่มความชุ่มชื้นของเยื่อบุโพรงมดลูก

การฝังตัวต้องอาศัยเยื่อบุที่ “อ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่น” ซึ่งเกิดขึ้นได้ดีในภาวะที่ร่างกายไม่ขาดน้ำ


3.ขับของเสียที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง

การดื่มน้ำมากจะกระตุ้นการทำงานของไตและลำไส้ ขจัดสารพิษในเลือดและระบบสืบพันธุ์


4.ช่วยควบคุมฮอร์โมนให้สมดุล

น้ำมีผลต่อการทำงานของไฮโปทาลามัส ซึ่งควบคุมการหลั่งฮอร์โมนทั้งหมดในร่างกาย รวมถึง FSH, LH, Estrogen และ Progesterone ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์


5.ลดอาการท้องผูกและลำไส้อืด

ซึ่งเป็นปัญหาที่รบกวนอุ้งเชิงกรานและอาจสร้างแรงดันต่อมดลูกโดยไม่รู้ตัว


―――――――――――――――――――――――――――――――


4. กินโปรตีนให้เพียงพอ


โปรตีน (Protein) ไม่ใช่แค่สารอาหารเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ แต่คือ "วัสดุตั้งต้น" ของทุกเซลล์ในร่างกาย ทั้งเซลล์มดลูก เซลล์ฮอร์โมน เซลล์ภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงการสร้างผนังของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ตัวอ่อนจะมาเกาะในช่วงก่อนใส่ตัวอ่อน ร่างกายของคุณแม่กำลังอยู่ใน “โหมดสร้างใหม่” และกระบวนการสร้างนี้...จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดโปรตีนอย่างเพียงพอ

 ประโยชน์ของโปรตีนต่อร่างกายของว่าที่คุณแม่


- ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอในระบบสืบพันธุ์ ร่างกายที่ผ่านการกระตุ้นไข่ หรือยาฮอร์โมน จะมีความอ่อนล้าระดับเซลล์ โปรตีนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไวขึ้น

-เสริมสร้างฮอร์โมนสำคัญต่อการฝังตัวโปรตีนเป็นส่วนประกอบในการสร้างโปรเจสเตอโรน (ฮอร์โมนแห่งการฝังตัว) ที่ทำให้มดลูกหนาและนิ่ง

-เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และลดภาวะอักเสบเรื้อรัง ร่างกายที่มี lean muscle สูง จะเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดการสะสมของไขมันอักเสบที่ส่งผลรบกวนฮอร์โมน

- สร้างภูมิคุ้มกันแบบสมดุล เพราะกรดอะมิโนจากโปรตีนเป็นวัตถุดิบหลักของสารภูมิคุ้มกันที่ไม่ต่อต้านตัวอ่อน

-ควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะ PCOS และมดลูกที่ไม่สมดุลฮอร์โมน


 ปริมาณโปรตีนที่แนะนำ

ผู้หญิงเตรียมตั้งครรภ์: 1.5 กรัม/กิโลกรัม/วัน

น้ำหนัก 50 กิโลกรัม = ต้องกินโปรตีน 60–75 กรัม/วัน


 ตัวอย่างปริมาณโปรตีนในอาหาร

ไข่ 1 ฟอง = 6 กรัม

อกไก่ 100 กรัม = 22 กรัม

ถั่ว 1 ถ้วยเล็ก = 10 กรัม

โปรตีนเสริม (Ferty Protein) 1 serving = 25 กรัม


วิธีกินโปรตีนให้ถึงเป้าแบบง่าย ๆ

แบ่งกินโปรตีน 3-5 มื้อ/วัน

เช่น ไข่ต้มเช้า–ข้าวโพดต้มสาย–อกไก่เที่ยง–ถั่ว/โยเกิร์ตตอนบ่าย–โปรตีนเสริมช่วงเย็น ผสมผสานโปรตีนจากหลายแหล่ง ทั้งจากพืช (ถั่ว เห็ด งาดำ) และสัตว์ (ไข่ ปลา ไก่)ใช้โปรตีนเสริมช่วยเสริมในมื้อที่ขาด โดยเฉพาะช่วงเร่งบำรุง เช่น 7 วันก่อนใส่ตัวอ่อน หรือช่วงที่กินได้น้อย


―――――――――――――――――――――――――――――――

6. ตรวจและดูแลสุขภาพช่องปาก


ช่องปากของเราคือด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกัน และเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย หากมีการอักเสบเรื้อรัง เช่น เหงือกบวม มีเลือดออก หรือมีคราบหินปูนสะสมจำนวนมาก ร่างกายจะหลั่งสารอักเสบ (inflammatory cytokines) ออกมาอย่างต่อเนื่อง


 ซึ่งสารเหล่านี้สามารถไหลเวียนเข้าสู่กระแสเลือด และไปกระตุ้น “ระบบภูมิคุ้มกันในโพรงมดลูก”ส่งผลให้ร่างกายต่อต้านตัวอ่อน หรือไม่เปิดรับการฝังตัวอย่างเต็มที่


 ผลกระทบจากสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี


-เพิ่มความเสี่ยงการอักเสบในระดับ systemic (ทั่วร่างกาย)

เช่นเดียวกับโรคเรื้อรัง เช่น ไทรอยด์หรือภูมิแพ้ตัวอ่อน


- กระตุ้นภูมิคุ้มกันเกิน (Overactive Immune)

ทำให้ Natural Killer Cells หรือ T cells ทำงานมากเกินไป จนไปรบกวนตัวอ่อน


- เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด

ซึ่งอาจส่งผลต่อมดลูกและตัวอ่อนที่บอบบาง


- หากตั้งครรภ์แล้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงการแท้งในระยะแรก

จากงานวิจัยที่พบว่า โรคปริทันต์ (เหงือกอักเสบลึก) มีความสัมพันธ์กับการแท้งและคลอดก่อนกำหนด


วิธีดูแลสุขภาพช่องปากก่อนใส่ตัวอ่อน


1.ตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน

เพื่อกำจัดคราบพลัค หินปูน และแบคทีเรียสะสมในช่องปาก


2.แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันอ่อนโยน

เลือกสูตรที่ไม่มีฟลูออไรด์สูงหรือสารฟองแรง (SLS-free)


3.ใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน

เน้นน้ำยาที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่ระคายเคือง และไม่รบกวนแบคทีเรียดีในช่องปาก


4. เลี่ยงของหวาน น้ำตาล และกาแฟมากเกินไป

เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทำให้คราบพลัคสะสมเร็ว


5.หมั่นสังเกตเหงือกและกลิ่นปาก

หากมีเลือดออก กลิ่นผิดปกติ หรือมีหนอง ให้รีบพบทันตแพทย์


―――――――――――――――――――――――――――――――


7. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน

ในช่วงการเตรียมใส่ตัวอ่อน ร่างกายต้องการ “ความสงบ” เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำงานหนักเกินไป การติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) แม้จะเป็นการติดเชื้อที่หลายคนมองว่าไม่รุนแรง แต่ในว่าที่คุณแม่ที่กำลังจะตั้งครรภ์…ถือว่า “มีความเสี่ยงสูงมาก” ทั้งต่อการฝังตัวและพัฒนาการของตัวอ่อน


 เหตุผลที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อนใส่ตัวอ่อน


1. ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยระหว่างการฝังตัว

ช่วงฝังตัวเป็นช่วง “บอบบางที่สุด” ของการตั้งครรภ์ หากคุณแม่มีไข้ หรือร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อโรค จะเพิ่มความเสี่ยงที่ตัวอ่อนจะไม่สามารถฝังตัวสำเร็จ


2.ป้องกันการติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก

หากติดไข้หวัดใหญ่หลังใส่ตัวอ่อน อาจกระตุ้นให้เกิดไข้สูง ไอแรง หรือได้รับยาที่ไม่ปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์


3. ช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน

จากงานวิจัยบางชิ้นพบว่า การได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในช่วงก่อนตั้งครรภ์ อาจช่วยลดภาวะ “ภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวอ่อน” โดยทางอ้อม


4. เป็นหนึ่งในวัคซีนที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์

วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ปลอดภัยต่อแม่และลูก และมักแนะนำให้ฉีดในหญิงที่วางแผนมีบุตร


 ควรฉีดเมื่อไหร่?

ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนก่อนวันใส่ตัวอ่อน

เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้เต็มที่ และไม่เกิดผลข้างเคียง (เช่น ไข้หรืออ่อนเพลีย) ใกล้วันสำคัญ


หากคุณแม่มีโรคประจำตัว หรือเคยแท้งบุตรจากการติดเชื้อ → ยิ่งควรฉีด


―――――――――――――――――――――――――――――――


8. ตรวจค่าแทรกร้อน เช่น ไทรอยด์, ANA, APS, ERS


“ค่าภูมิคุ้มกันแทรกร้อน” คือกลุ่มของค่าที่ตรวจเพื่อดูว่า ร่างกายคุณแม่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฝังตัวของตัวอ่อนหรือไม่


 ตัวอ่อนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มี DNA ของพ่อครึ่งหนึ่ง ซึ่งสำหรับร่างกายแม่แล้ว “ถือเป็นสิ่งแปลกปลอม” หากระบบภูมิคุ้มกันของแม่ไม่สามารถปรับสมดุลได้ ตัวอ่อนอาจถูกมองว่าเป็นศัตรู และถูกทำลายก่อนฝังตัวสำเร็จ


 กลุ่มค่าแทรกร้อนสำคัญที่ควรตรวจ และความหมายเบื้องต้น

TSH, FT3, FT4 (ไทรอยด์)


- ฮอร์โมนไทรอยด์มีผลต่อการตกไข่ และการฝังตัว

- หากมีภาวะไทรอยด์ต่ำหรือสูง จะลดโอกาสการฝังตัวทันที

- ค่า TSH ที่แนะนำในช่วงเตรียมตั้งครรภ์: ไม่เกิน 2.5 mIU/L


ANA (Antinuclear Antibodies)


-ค่าอัตโนมัติภูมิคุ้มกัน ที่หากพบค่าบวก (+) แสดงว่าร่างกายมีแนวโน้ม “แพ้ตัวเอง” และอาจต่อต้านตัวอ่อน


APS (Antiphospholipid Syndrome)


เป็นกลุ่มของภูมิคุ้มกันที่ทำให้เลือดแข็งตัวผิดปกติ → อาจทำให้ “เลือดไปเลี้ยงตัวอ่อนไม่ถึง” หรือเกิดลิ่มเลือดในรก


ERS / ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate)


ค่าการอักเสบทั่วไปในร่างกาย หากสูงแสดงว่ามีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจรบกวนการฝังตัวหรือทำให้ภูมิคุ้มกันไวเกิน


 ใครบ้างที่ควรตรวจค่าเหล่านี้?

- คนที่ ใส่ตัวอ่อนแล้วไม่ติดซ้ำ ๆ

- คนที่ แท้งในช่วงแรกหลายครั้ง

- คนที่มี ประวัติโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น SLE หรือไทรอยด์อักเสบ

- คนที่มี ประวัติครอบครัวเป็นโรคแพ้ภูมิคุ้มกัน


―――――――――――――――――――――――――――――――


9. ทำ ERA Test (Endometrial Receptivity Analysis)


ERA Test คืออะไร?


ERA ย่อมาจาก Endometrial Receptivity Analysis เป็นการตรวจระดับ ความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก ว่า “วันไหนคือวันเหมาะสมที่สุดในการใส่ตัวอ่อนของคุณแม่โดยเฉพาะ”


 จุดสำคัญคือ แม้เราจะมีตัวอ่อนเกรดดี แต่อาจใส่ในช่วงที่มดลูกยังไม่เปิด “หน้าต่างแห่งการฝังตัว” (implantation window) → ทำให้ตัวอ่อนดีแค่ไหนก็ไม่สามารถฝังตัวได้


ประโยชน์ของการทำ ERA Test

- รู้จังหวะที่ “พอดีเป๊ะ” สำหรับการฝังตัวของแต่ละคน เพราะบางคนไม่สามารถฝังตัวได้ในเวลามาตรฐานทั่วไป (เช่น หลังฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน 5 วัน) อาจต้องขยับไป 4.5 หรือ 6 วันแทน

- เพิ่มอัตราการฝังตัวโดยเฉพาะในคนที่ใส่แล้วไม่ติดซ้ำ



 ใครบ้างที่ควรทำ ERA?

-คนที่ใส่ตัวอ่อนแล้วไม่ติดมาแล้ว 2 รอบขึ้นไป ทั้งที่ตัวอ่อนเกรดดี

-คนที่มีภาวะ “เยื่อบุหนาแต่ไม่ฝัง”

-คนที่ต้องการลดความเสี่ยงการเสียตัวอ่อนเกรดดี

-คนที่วางแผนทำ ICSI หรือ FET รอบสุดท้ายและต้องการเพิ่มโอกาสให้มากที่สุด


ควรทำ ERA Test ล่วงหน้าอย่างน้อย 1–2 เดือนก่อนใส่ตัวอ่อนจริง


 เตรียมร่างกายเข้าสู่รอบจำลอง (Mock Cycle)

การทำ ERA ต้องใช้ฮอร์โมนแบบเดียวกับรอบใส่ตัวอ่อนจริง เช่น Estradiol + Progesterone → ต้องเตรียมร่างกายเหมือนจะใส่ตัวอ่อน

 ตัดชิ้นเนื้อ + ส่งตรวจ + รอผลประมาณ 2–3 สัปดาห์

หลังตัดเยื่อบุโพรงมดลูก แพทย์จะส่งไปตรวจวิเคราะห์ระดับยีนกว่า 200 ตัว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 14–21 วัน

 นัดแพทย์เพื่ออ่านผล + วางแผนรอบใส่ตัวอ่อนจริงตามวัน “Personalized Window”


―――――――――――――――――――――――――――――――


10. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก


ปากมดลูก คือทางผ่านสำคัญที่ตัวอ่อนจะถูกส่งเข้าสู่โพรงมดลูก หากมีเซลล์ผิดปกติการติดเชื้อ หรือภาวะอักเสบเรื้อรัง บริเวณปากมดลูกอาจส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน

และที่สำคัญคือหากมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ระยะเริ่มต้น (precancerous cells) แล้วเราใส่ตัวอ่อนไปหากตั้งครรภ์ จะไม่สามารถรักษาหรือทำหัตถการใด ๆ ได้จนกว่าจะคลอดจึงอาจกระทบความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก


 การตรวจที่แนะนำก่อนใส่ตัวอ่อน

- Pap smear (แป๊บสเมียร์)

ตรวจเซลล์เยื่อบุปากมดลูกหาความผิดปกติเบื้องต้น เช่น เซลล์อักเสบ หรือเซลล์เปลี่ยนแปลงก่อนเป็นมะเร็ง


- HPV DNA Test (ตรวจหาเชื้อ HPV)

หาเชื้อไวรัส HPV ชนิดเสี่ยงสูงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก แม้เซลล์จะยังไม่ผิดปกติ → ใช้ควบคู่กับ Pap smear จะได้ผลแม่นยำที่สุด


ดังนั้นการตรวจล่วงหน้า อย่างน้อย 1–2 เดือน คือช่วงเวลาที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด


―――――――――――――――――――――――――――――――


 11. Botox, Filler, Ulthera – ควรเว้นอย่างน้อย 1 เดือนก่อนใส่ตัวอ่อน


เพราะแม้เราจะอยากสวย...แต่ "สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตใหม่" ต้องมาก่อนหัตถการความงามบางอย่าง เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือคลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง (HIFU/Ulthera) ล้วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบใต้ผิวหนัง และสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

ซึ่งในช่วงที่ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับ “การฝังตัว” ของตัวอ่อน ร่างกายต้องการความสงบ สมดุล ไม่มีสารกระตุ้นจากภายนอกหรืออาการอักเสบใด ๆ หัตถการเหล่านี้อาจไม่อันตรายต่อคนทั่วไป แต่ อาจรบกวนสภาพแวดล้อมการฝังตัวที่ละเอียดอ่อนของว่าที่คุณแม่ ได้ค่ะ


 เวลาที่ควรเว้น

· Botox: ควรเว้นอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนใส่ตัวอ่อน

· Filler / ร้อยไหม: ควรเว้นอย่างน้อย 4–6 สัปดาห์ก่อนใส่ตัวอ่อน

· Ulthera / HIFU: ควรเว้นอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนใส่ตัวอ่อน


 ถ้าอยากดูแลตัวเองช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน…ควรทำอะไรแทน?


- ดูแลผิวด้วย สกินแคร์ปลอดภัย ปราศจากสารกระตุ้นฮอร์โมน

- ดื่มน้ำ 2.5–3 ลิตร/วัน เพื่อให้ผิวอิ่มน้ำจากภายใน

- มาส์กหน้าธรรมชาติ เช่น มะเขือเทศ โยเกิร์ต น้ำผึ้ง


―――――――――――――――――――――――――――――――


12. เลือกใช้สกินแคร์ที่ปลอดภัย


ในช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน ร่างกายของคุณแม่ต้องการฮอร์โมนที่สมดุล เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการฝังตัว แต่หลายคนไม่รู้ว่า “สิ่งที่ทาบนผิวทุกวัน” อาจเป็นตัวการรบกวนฮอร์โมนโดยไม่รู้ตัว เพราะสารเคมีบางชนิดในสกินแคร์ เช่น พาราเบน, พาทาเลต, หรือเรตินอล เข้มข้น สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังและเข้าไป เลียนแบบหรือรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ


 สารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน

Parabens (พาราเบน)

ใช้เป็นสารกันเสีย แต่สามารถเลียนแบบเอสโตรเจน → ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน


Phthalates (พาทาเลต)

มักอยู่ในน้ำหอม สเปรย์ฉีดผม โลชั่นที่มีกลิ่นหอม → เป็นสารรบกวนฮอร์โมนระดับเซลล์


Retinoids (Retinol, Retin-A, Tretinoin)

วิตามินเอเข้มข้นที่อาจทำให้เกิด การพัฒนาผิดปกติของตัวอ่อน หากมีการตั้งครรภ์ในช่วงนั้น


AHA / BHA / กรดผลไม้เข้มข้น

แม้จะช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่สามารถกระตุ้นการอักเสบระดับผิวหนัง → ไม่เหมาะในช่วงต้องการ “ความสงบทางภูมิ”


Hydroquinone / กลุ่มไวท์เทนนิ่งแรง ๆ

มีความเป็นพิษต่อเซลล์ผิว และอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเมื่อสะสม


 สกินแคร์แบบไหนที่แนะนำช่วงเตรียมตั้งครรภ์?

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีป้ายกำกับ:

“Paraben-free” / “Phthalate-free” / “Fragrance-free” / “Safe for pregnancy”


เน้นกลุ่ม ออร์แกนิก, เวแกน, หรือสูตรธรรมชาติ

เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันอาร์แกน สารสกัดจากข้าวหอม มะพร้าว ว่านหางจระเข้


―――――――――――――――――――――――――――――――


13. งดใช้เครื่องหอม เช่น น้ำหอมและสเปรย์ฉีดผม


กลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์ยอดฮิตในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม โลชั่นปรับกลิ่น สเปรย์ฉีดผม หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ส่วนใหญ่ล้วนมีส่วนผสมของ สารเคมีระเหยจำพวก Phthalates (พาทาเลต) และ Fragrance synthetic compoundsซึ่งถูกจัดว่าเป็น “สารรบกวนฮอร์โมน (Endocrine Disruptors)” ที่สามารถ

เลียนแบบหรือขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน

สะสมในเนื้อเยื่อไขมันและตับ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตและควบคุมฮอร์โมน

กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ไวเกิน จนเสี่ยง “ต่อต้านตัวอ่อน”


 ตัวอย่างสิ่งที่ควรเลี่ยง ล่วงหน้า 4–6 สัปดาห์ก่อนใส่ตัวอ่อน

1. น้ำหอม

ทั้งแบบฉีดตัว, ฉีดผ้า, น้ำหอมในรถ

 เพราะมี Phthalates + สารระเหย ที่เลียนแบบฮอร์โมนเอสโตรเจน


2. สเปรย์ฉีดผม / Dry Shampoo

 มีสารเคมีระเหย เช่น Butane, Isobutane, Fragrance

กระตุ้นระบบประสาท + ภูมิคุ้มกัน และอาจดูดซึมผ่านหนังศีรษะได้


3. โลชั่น/ครีม/บอดี้มิสต์ ที่มีกลิ่นหอมแรง

โดยเฉพาะคำว่า “Perfume / Fragrance” ในส่วนผสม

 อาจมีสารรบกวนฮอร์โมนและพาทาเลตแบบไม่ระบุชื่อ


4. น้ำยาปรับผ้านุ่ม / น้ำยาซักผ้ากลิ่นหอม

 มีกลิ่นหอมตกค้างในผ้า และอาจเข้าสู่ระบบหายใจหรือซึมผ่านผิว


5. น้ำยาทำความสะอาดบ้าน / ห้องน้ำ / สเปรย์ปรับอากาศ

 กลิ่นหอมเทียม + สารฟอกขาว/ฆ่าเชื้อที่ระคายเคืองโพรงจมูกและปอด

มีผลต่อ ภูมิคุ้มกันและระบบฮอร์โมน ทางอ้อม


6. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มี Retinol, AHA, BHA, Hydroquinone

 กระตุ้นการผลัดเซลล์แรง → ร่างกายตอบสนองคล้าย "การอักเสบระดับผิว"


 ถ้าจะใช้...ควรเลือกแบบไหน?

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีป้ายกำกับ “Fragrance-Free” / “Phthalate-Free” / “For sensitive skin”

ใช้น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ เช่นลาเวนเดอร์, กุหลาบ, คาโมมายล์ โดยใช้ในปริมาณเจือจาง หรือหยดในเครื่องพ่นไอน้ำ แทนการสัมผัสกับผิวโดยตรง

หลีกเลี่ยงการฉีด/พ่นบนเสื้อผ้า ผิว หรือหมอนในช่วง 2 เดือนก่อนใส่ตัวอ่อน


―――――――――――――――――――――――――――――――


14. ทำ Castor Oil Pack อย่างสม่ำเสมอ


Castor Oil Pack คืออะไร?

Castor Oil Pack คือการใช้ น้ำมันละหุ่งบริสุทธิ์ (Cold-Pressed Castor Oil) ชุบผ้า cotton flannel วางบนหน้าท้องส่วนล่างเหนือหัวหน่าว แล้วประคบด้วยความร้อน เช่น ถุงน้ำร้อน ประมาณ 30–45 นาที


ในแนวทางของแพทย์ทางเลือก เช่น แพทย์แผนจีน หรือธรรมชาติบำบัด มีความเชื่อว่าการใช้ Castor Oil Pack อย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน กระตุ้นการขับของเสียผ่านระบบน้ำเหลือง และอาจช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องการความสงบสมดุลก่อนเข้าสู่รอบใส่ตัวอ่อน


แม้ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันผลลัพธ์ชัดเจนในเรื่องการช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัว แต่ Castor Oil Pack ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่ต้องการดูแลร่างกายเชิงป้องกัน และใส่ใจระบบภายในในแบบที่ไม่รบกวนร่างกายมากนัก บางคนอาจเลือกใช้วิธีนี้ควบคู่กับการพักผ่อน การฝึกหายใจ หรือโยคะ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและร่างกายพร้อมก่อนวันสำคัญ


วิธีทำง่าย ๆ ที่บ้าน

1.เตรียมน้ำมันละหุ่ง (ต้องเป็นแบบ Cold-Pressed 100%)

2.ชุบผ้า Cotton Flannel

3.ใช้พลาสติกแรปหุ้มไว้เบา ๆ แล้ววางถุงน้ำร้อนทับ

4.ประคบประมาณ 30–45 นาที (ทำตอนก่อนนอนจะดีมาก)

5.ทำ 3–5 วัน/สัปดาห์ ก่อนวันไข่ตกหรือก่อนใส่ตัวอ่อน

6.หยุดทันทีเมื่อมีการย้ายตัวอ่อนแล้ว หรือหลังไข่ตก


ข้อควรระวัง ไม่ควรทำในช่วง หลังใส่ตัวอ่อน / ระหว่างฝังตัว / หลังย้ายตัวอ่อนแล้ว


―――――――――――――――――――――――――――――――


15. นวดผ่อนคลาย ลดความเครียดก่อนวันใส่ตัวอ่อน

เพราะจิตใจที่นิ่ง สงบ และปล่อยวาง...คือสัญญาณให้ร่างกายพร้อมเปิดรับชีวิตใหม่ ในช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน ฮอร์โมนหลักที่เราต้องการให้ทำงานอย่างราบรื่นคือ Progesterone (ฮอร์โมนแห่งความนิ่ง) ซึ่งมีหน้าที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกนุ่ม และเอื้อต่อการฝังตัว


แต่หากร่างกายเครียด ระบบประสาทจะเข้าสู่ โหมดตื่นตัว ทำให้เกิดการหลั่ง Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) ซึ่งจะไปลดการหลั่งฮอร์โมนสืบพันธุ์ และทำให้ร่างกายต่อต้านการฝังตัวโดยไม่รู้ตัว


 แนะนำวิธีนวดที่เหมาะกับช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน


- นวดแบบอโรมาเบา ๆ โดยเลือกกลิ่นธรรมชาติ เช่น ลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ (หลีกเลี่ยงกลิ่นหอมแรง)

- นวดศีรษะ บ่า ไหล่ แทนการนวดท้องหรืออุ้งเชิงกราน

- ประคบอุ่นเบา ๆ ที่ไหล่หรือฝ่าเท้า แทนการใช้ความร้อนตรงหน้าท้อง

- นวดกดจุดเท้าเบา ๆ เฉพาะจุดผ่อนคลาย ไม่ลงลึก

- โยคะยืดเหยียดเบา ๆ + การหายใจลึก ๆ ก่อนนอนก็ให้ผลใกล้เคียงกับการนวดค่ะ


 ข้อควรระวัง


- หลีกเลี่ยงการนวดแรง หรือนวดหน้าท้องโดยตรง

- งดนวดทุกชนิดทันที หลังใส่ตัวอ่อน หรือในช่วง 7 วันหลังการย้ายตัวอ่อน


―――――――――――――――――――――――――――――――


16. จัดห้องให้สะอาด เป็นระเบียบ


เพราะ “พลังงานรอบตัว” ส่งผลกับ “พลังงานภายใน” อย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะในช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน...ที่ร่างกายและจิตใจของแม่ต้องการ ความนิ่ง ความสงบ และความรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด


ทำไมการจัดห้องจึงสำคัญในช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน?

 1. ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียดโดยธรรมชาติห้องที่เป็นระเบียบช่วยลดสิ่งเร้าทางสายตา ทำให้สมองรู้สึก “ปลอดภัย” เป็นเหมือนการจัดระบบภายในใจเราไปพร้อมกัน

 2. ปรับพลังงานรอบตัวให้ “นิ่ง นุ่ม และเปิดรับ”

ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยหรือจิตบำบัดสิ่งแวดล้อม การจัดห้องสะอาดคือการปลดปล่อยพลังงานค้างเก่า เพื่อเปิดทางให้ “พลังงานใหม่” เข้ามา ซึ่งในที่นี้คือ “พลังชีวิตของลูกน้อย”

 3. ป้องกันเชื้อโรค ฝุ่น และสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้

ในช่วงเตรียมใส่ตัวอ่อน ระบบภูมิคุ้มกันของแม่ควรนิ่งและสมดุล ฝุ่นละออง สารระคายเคือง หรือเชื้อราในห้อง อาจกระตุ้นภูมิฯ เกิน และส่งผลต่อการฝังตัวได้


 วิธีจัดห้องง่าย ๆ ให้พลังงานนิ่งพร้อมต้อนรับชีวิตใหม่

1. เคลียร์ของที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะของเก่า ชำรุด หรือของที่ทำให้แม่รู้สึก “หนักใจ”

เช่น เอกสารที่ยังไม่ได้จัด รูปภาพเก่า ๆ ที่ชวนเศร้า ฯลฯ

2.เปลี่ยนผ้าปู ปลอกหมอนเป็นโทนอบอุ่นนุ่มนวล เช่น สีขาว ครีม ชมพูอ่อน หรือเขียวอ่อน เพื่อส่งสัญญาณ “ความพร้อม” ให้สมองและหัวใจรับรู้

3.เปิดหน้าต่างให้แสงธรรมชาติเข้ามา พลังของแสงแดดช่วยลดฮอร์โมนเครียด และกระตุ้นสารแห่งความสุข (เซโรโทนิน)

หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นผ่อนคลาย เช่น ลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ หรือกลิ่นเบา ๆ ที่แม่ชอบ เปิดไว้ช่วงก่อนนอน หรือตอนจัดห้องก็ช่วยให้ใจนิ่งขึ้นค่ะ


―――――――――――――――――――――――――――――――


17. กำจัดขนน้องสาวก่อนวันใส่ตัวอ่อน


เพราะ “ความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น” ไม่ได้มีแค่เรื่องความมั่นใจแต่ยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่อง การติดเชื้อ และ การรบกวนกระบวนการทางการแพทย์โดยเฉพาะในวันที่คุณหมอจะต้องทำหัตถการที่ละเอียดอ่อนระดับไมโครอย่าง “การใส่ตัวอ่อน” ค่ะ


―――――――――――――――――――――――――――――――


18. ตัดเล็บเท้าให้สั้น


เพราะหลังใส่ตัวอ่อนแล้ว แม่จะต้อง หลีกเลี่ยงการก้มตัวแรง ๆ การก้มเพื่อ “ตัดเล็บเท้าเอง” อาจกลายเป็นกิจกรรมที่ไม่สะดวก เสี่ยง และไม่ควรทำในช่วงที่ร่างกายต้องการ ความนิ่งและสมดุล ที่สุดค่ะ


 ทำไมต้องตัดเล็บเท้าล่วงหน้า?

1. ลดความเสี่ยงจากการก้มตัวหลังใส่ตัวอ่อน

หลัง Embryo Transfer แพทย์มักแนะนำให้แม่ “หลีกเลี่ยงการออกแรง การก้ม-บิดตัว หรือกดทับหน้าท้อง” โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวอ่อนเริ่มพยายามฝังตัว → การก้มแรงเพื่อจับเท้าหรือตัดเล็บ อาจทำให้เกิดแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกรานและหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว

2. ป้องกันการเจ็บเท้าและเล็บฉีกในช่วงที่ดูแลตัวเองยาก

เล็บที่ยาวเกินไปอาจทำให้แม่เจ็บเท้า ขูดรองเท้า หรือฉีกขาดระหว่างวัน แต่เมื่อท้องเริ่มป่อง หรืออยู่ในช่วงต้องพักมาก ๆ → การตัดเล็บเองจะยิ่งยาก จึงควรตัดให้สั้น สะอาดตั้งแต่ก่อนวันใส่ตัวอ่อน เพื่อความสบายและลดโอกาสเกิดแผลหรืออักเสบค่ะ

3. หลีกเลี่ยงการไปทำเล็บนอกบ้านในช่วงรอฝังตัว

การไปทำเล็บที่ร้านอาจเพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค หรือเกิดการติดเชื้อราที่เล็บได้

หากไม่จำเป็น แนะนำให้ “ตัดและดูแลเล็บเอง” ที่บ้านล่วงหน้าจะปลอดภัยกว่า


―――――――――――――――――――――――――――――――


19. สระผมให้สะอาดในวันใส่ตัวอ่อน


เพราะหลังใส่ตัวอ่อน แพทย์มักแนะนำให้คุณแม่ พักผ่อนให้มากที่สุด และ หลีกเลี่ยงการก้มตัวหรือยกแขนเหนือศีรษะนาน ๆการเตรียมผมให้สะอาดตั้งแต่วันใส่ตัวอ่อนจะช่วยให้แม่ “ไม่ต้องกังวลเรื่องผม” ไปอีกหลายวันค่ะ


―――――――――――――――――――――――――――――――


20. เตรียมอุปกรณ์สื่อสารให้พร้อม ก่อนวันใส่ตัวอ่อน


เพราะหลังใส่ตัวอ่อนแล้ว คุณแม่จะต้อง “พักผ่อนให้มากที่สุด”การที่อุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ใกล้ตัว ทั้งโทรศัพท์, สายชาร์จ, แท็บเล็ต หรือรีโมตต่าง ๆ

จะช่วยให้แม่ ไม่ต้องลุกบ่อย ไม่ต้องเอื้อมแรง ๆ และไม่ต้องก้มบ่อย ๆ ในช่วงที่ร่างกายกำลังทำงานละเอียดเพื่อฝังตัวค่ะ

 รายการสิ่งเล็ก ๆ ที่ควรเตรียมให้พร้อมข้างที่นอน/ที่พัก

-โทรศัพท์มือถือ

-สายชาร์จยาว / Power Bank

-ปลั๊กพ่วง (ถ้าชาร์จหลายอุปกรณ์)

-หูฟัง / ลำโพงเล็กสำหรับฟังเพลงเบา ๆ

-แท็บเล็ต / iPad (สำหรับดูคอนเทนต์เบาสมอง)

-รีโมตแอร์, รีโมตทีวี

-น้ำดื่มขวดใหญ่พร้อมหลอด

-ผ้าเช็ดหน้า ผ้าอุ่นประคบเบา ๆ

-ปากกา + สมุดเล็ก (จดอาการ, สิ่งที่อยากบันทึก)

 หากบ้านเป็นบ้านสองชั้น หรือคุณแม่พักอยู่ชั้นบนคนเดียวอาจเตรียม วิทยุสื่อสาร (Walkie Talkie) ไว้ 1 คู่ สำหรับสื่อสารกับคนในบ้านโดยเฉพาะคุณพ่อหรือคนที่ช่วยดูแล จะช่วยให้แม่ไม่ต้องตะโกน หรือเดินลงไปเองเมื่อต้องการความช่วยเหลือ


สุดท้ายนี้การใส่ตัวอ่อนไม่ใช่เพียงขั้นตอนทางการแพทย์แต่คือ “ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหวัง ความกลัว และความรัก คือช่วงเวลาที่คุณแม่ยอมเปิดหัวใจอีกครั้งทั้งที่ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้รับ “คำตอบแบบไหน” กลับมา

การเตรียมตัวทั้ง 20 ข้อเหล่านี้ อาจดูเหมือนต้องทำอะไรเยอะแยะ แต่ครูก้อยอยากให้คุณแม่จำไว้ว่า “ไม่จำเป็นต้องทำให้ครบหมดทุกข้อ...แต่ขอให้ทำด้วยหัวใจที่เชื่อว่า ฉันกำลังดูแลตัวเองเพื่อใครสักคนที่กำลังจะมา”


บางวันคุณแม่อาจเหนื่อย บางวันอาจร้องไห้กับผลตรวจที่ยังไม่ขึ้นขีด แต่ขอให้คุณแม่รู้ว่า...คุณไม่ได้ล้มเหลว คุณกำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง


ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรในรอบนี้ ขอให้คุณแม่กลับมากอดตัวเองให้แน่นที่สุด แล้วพูดกับตัวเองว่า “ฉันได้รักลูกแล้ว ตั้งแต่วันที่เขายังไม่มา และฉันจะยังรักตัวเองต่อไป ในทุกวันที่เขายังไม่มาเช่นกัน” คุณแม่ไม่เดินลำพัง…ครูก้อยและทีมส่งใจให้เสมอค่ะ



Comments


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page