เกรดตัวอ่อน สำคัญอย่างไร คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจกำลังสงสัยว่าทำไมในการทำ ICSI ต้องมีการคัดเลือกเกรดของตัวอ่อนด้วย ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทุกตัวหรือ? โดยในบทความนี้ครูก้อยจะมาอธิบายให้ฟังกันค่ะว่าการคัดเกรดตัวอ่อนสำคัญอย่างไร มีเกรดไหนบ้าง แล้วตัวอ่อนแต่ละระยะมีเกรดที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้คลายข้อสงสัยกันค่ะ
เกรดตัวอ่อน แบ่งอย่างไร มีขั้นตอนแบบไหนบ้าง?
การรักษาผู้มีบุตรยากโดยใช้วิธีการทำเด็กหลอดแก้วหรือ อื๊กซี่ (ICSI) มีขั้นตอนที่สำคัญ คือ การเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนที่เพาะเลี้ยงถึงวันที่เหมาะสมจะถูกย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป ซึ่งโอกาสในการประสบความสำเร็จจากการทำ ICSI ขึ้นอยู่กับตัวอ่อนที่มีคุณภาพ ในทางการแพทย์จะมีการแบ่งเกรดของตัวอ่อน ว่าตัวอ่อนของแม่ ๆ นั้นเป็นตัวอ่อน Day ไหน เกรดไหน เพื่อสามารถบอกถึงคุณภาพตัวอ่อนได้ และใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป
วันนี้ครูก้อยนำข้อมูลเรื่องเกรดของตัวอ่อนมาฝากแม่ ๆ ไปศึกษาพร้อมกันเลยค่ะ
การแบ่งเกรดตัวอ่อนที่นำไปเพาะเลี้ยงมีวิธีการอย่างไร?
หลังจากที่ไข่ผสมกับสเปิร์มแล้วก็จะมีการนำไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการโดยนักเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจะดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในระยะเวลาพัฒนาตัวอ่อนก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 วัน ในช่วงนี้ก็จะมีการแบ่งเกรดของตัวอ่อนเพื่อดูความแข็งแรงสมบูรณ์ ก่อนที่จะมีการคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดเพื่อย้ายกลับสู่โพรงมดลูก
ขั้นตอนต่าง ๆ ในการแบ่งเกรดตัวอ่อน
การแบ่งเกรดหรือให้คะแนนตัวอ่อนจะทำในตัวอ่อน 2 ระยะคือ ระยะคลีเวจ (Cleavage) และ ระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างกันคือ
ตัวอ่อนระยะคลีเวจ (Cleavage)
เป็นระยะที่ตัวอ่อนเกิดการแบ่งตัว ระยะนี้จะเป็นระยะหลังไข่กับสเปิร์มผสมกันแล้ว 24 - 72 ชั่วโมง หรือเป็นระยะที่ไข่กับสเปิร์มผสมกันแล้ว 24 ชั่วโมงเป็นต้นไปจนถึงไม่เกินวันที่ 3
จะแบ่งเกรดโดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากลจากเกณฑ์การให้คะแนนตัวอ่อนของ Istanbul Consensus Scoring System 2011 โดยจะมีการพิจารณาจากรูปร่างความสมมาตรของเซลล์ที่พบ สำหรับการแบ่งเกรดระยะนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
คลีเวจ เกรด 1
คือตัวอ่อนที่มี blastomeres หรือมีการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนที่เป็นรูปร่างกลมสวย มีขนาดเท่า ๆ กันและรูปร่างใกล้เคียงกัน ไม่มีแฟรกเมนเตชัน (Fragmentation เศษเซลล์ขนาดเล็กที่ผิดปกติในตัวอ่อน) หรือหากมีก็น้อยกว่า 10 % ถ้าอยู่ในเงื่อนไขนี้ก็จะได้เกรด 1 ซึ่งตัวอ่อนกลุ่มนี้จะมีแนวโน้มสูงที่จะเจริญเติบโตเป็นระยะบลาสโตซิสต์ได้สูง
คลีเวจ เกรด 2
คือตัวอ่อนที่มี blastomeres หรือการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนที่เซลล์มีขนาดแตกต่างกันเล็กน้อย มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน และมีแฟรกเมนเตชัน (Fragmentation) พบอยู่ประมาณ 10-25 %
คลีเวจ เกรด 3
ตัวอ่อนมี blastomeres หรือการแบ่งตัวของเซลล์ที่ขนาดไม่เท่ากัน มีแฟรกเมนเตชันอยู่มากกว่า 25% หรือมากกว่า 1 ใน 4 ของตัวอ่อน ซึ่งกรณีนี้เราก็อาจจะหาเซลล์ของตัวอ่อนจริง ๆ ได้ไม่พบเลย แต่ถึงจะได้เกรดนี้เราก็จะเลี้ยงต่อตามปกติ เพราะว่าเกรด 3 ก็ยังมีโอกาสเติบโตเป็นบลาสโตซิสต์แม้ว่าเซลล์ของตัวอ่อนอาจจะไม่สวยมากหรือไม่สมบูรณ์มากนักก็จะไม่มีการทิ้ง ต้องดูแลกันต่อไปก่อน เนื่องจากวิธีการเลี้ยงตัวอ่อนจะเลี้ยงแยกกันอยู่แล้ว 1 ตัวต่อ 1 ดรอป
ดังนั้นจึงยังคงเลี้ยงต่อไปเพราะว่าตัวอ่อนยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้ เพียงแต่อาจจะไม่สวยมากนัก เมื่อตัวอ่อนผ่านระยะคลีเวจ Cleavage แล้วก็จะพัฒนาสู่ระยะบลาสโตซิสต์ Blastocyst
ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst)
เป็นระยะที่มีตัวอ่อนเจริญเติบโตอยู่ 5-6 วันหลังจากที่ไข่กับสเปิร์มผสมกัน ซึ่งเมื่อเราเลี้ยงตัวอ่อนถึง Day 5-6 หรือระยะบลาสโตซิสต์แล้ว ก็จะมีการแบ่งเกรดตัวอ่อนอีกครั้ง โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากลที่ใช้กันในการคัดเกรดของ Gardner and Schoolcraft 1999
โดยระยะบลาสโตซิสต์จะแบ่งเป็น 6 เกรดโดยพิจารณาจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่
1.Expansion รูปร่างของเซลล์ของตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์
Expansion แบ่งเป็น 6 ระยะ ซึ่งเป็นการดูถึงระยะของการเติบโตของบลาสโตซิสต์ ดังนี้
(1) Early Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 1
จะมีบลาสโทซีล (Blastocoel) น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาตรตัวอ่อน (ในระยะ Blastocyst จะมีการเคลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่างในตัวอ่อน เรียกช่องว่างนี้ว่า Blastocoel)
(2) Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 2
จะมีบลาสโทซีลมากกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดตัวอ่อน
(3) Full Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 3
มีบลาสโทซีลเจริญเต็มที่อยู่ในตัวอ่อน และขนาดตัวอ่อนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น
(4) Expanded Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 4 ปริมาตรของบลาสโทซีลมีขนาดใหญ่กว่า 3 ระยะแรกของตัวอ่อน เปลือกไข่ หรือ Zona pellucida จะบางลงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งขนาดตัวอ่อนจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น
(5) Hatching Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 5 ส่วนที่จะเติบโตไปเป็นรกหรือ Trophectoderm เริ่มโผล่ออกมาจากเปลือกแล้ว
(6) Hatched Blastocyst หรือ Expansion ระดับที่ 6 ตัวอ่อนฟักตัวหลุดออกมาจากเปลือกแล้ว
2.Inner Cell Mass หรือ ICM จะมีการแบ่งเกรดเป็น 3 เกรด คือจะได้ เกรด A , B , C
(1) Grade A : มีจำนวนเซลล์มาก และยึดเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน
(2) Grade B : มีเซลล์ไม่มาก มีการรวมกลุ่มกันหลวม ๆ มีการกระจายตัวบ้าง
(3) Grade C : มีเซลล์น้อยมากหรืออาจมองไม่เห็นการรวมกลุ่มของ Inner Cell Mass เลย
3.Trophectoderm จะมีการแบ่งเกรดเป็น 3 เกรดเช่นกัน คือจะได้ เกรด A , B , C
(1) Grade A : มีจำนวนเซลล์มาก มีขนาดเซลล์เรียงตัวกันสม่ำเสมอ สวยงาม
(2) Grade B : มีจำนวนเซลล์ที่น้อย ยึดเกาะกันหลวม ๆ หรือขนาดและเซลล์เรียงตัวกันไม่สม่ำเสมอ ขนาดเซลล์มีเล็กบ้างใหญ่บ้าง
(3) Grade C : มีจำนวนเซลล์น้อยมาก ขนาดเซลล์เล็กบาง ไม่สม่ำเสมอ
มาพิจารณาเกรดตัวอ่อนจากรูปนี้กันค่ะ
จากรูปเป็นรูปตัวอ่อนจริงของแม่ที่อนุญาตให้เปิดเผยได้ โดยทางนักวิทย์ฯประเมินเกรดเป็น 5AB
โดยประเมินจากหลักเกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นคือ
ตัวเลข ให้ดูจาก รูปร่างของเซลล์ของตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์ (Expansion) ซึ่งมี 6 ระยะ จากรูปอยู่ในระยะที่ 5 คือระยะ Hashing Blastocyst ซึ่งระยะนี้ ส่วนที่จะเติบโตไปเป็นรกหรือ Trophectoderm เริ่มโผล่ออกมาจากเปลือกแล้ว
ต่อมา เกรด A B หรือ C ซึ่งเป็นตัวอักษร 2 ตัว ได้แก่ เกรดของ Inner Cell Mass คือ เซลล์ที่จะเจริญเติบโตไปเป็นตัวอ่อน และ เกรดของ Trophectoderm คือ เซลล์ที่จะเจริญเติบโตเป็นรกตามลำดับค่ะ
จากรูป ได้เกรด AB หมายความว่า
ส่วนของ Inner Cell Mass ได้เกรด A คือ มีจำนวนเซลล์ตัวอ่อนมาก และยึดเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน
ส่วนของ Trophectoderm ได้เกรด B คือ มีจำนวนเซลล์รกน้อย ยึดเกาะกันหลวม ๆ
จากเกณฑ์ดังกล่าว ตัวอ่อนที่มีเกรด 6AA หรือ 6AB ก็จะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการแนะนำให้ใส่กลับสู่โพรงมดลูกนั่นเองค่ะ
โดยการเลือกจะให้ความสำคัญจากทั้ง 3 ปัจจัยโดยจะเลือกจาก Inner Cell Mass ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้า Inner Cell Mass คุณภาพดีก็จะค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเมื่อฝังตัวไปก็มีโอกาสเจริญเติบโตแน่นอน เพราะเป็นหัวใจสำคัญของตัวอ่อนนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการแบ่งระยะของตัวอ่อนหรือการแบ่งเกรดอาจแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของห้องแลปแต่ละที่ แต่ก็มีหลักเกณฑ์พื้นฐานตามที่ได้กล่าวข้างต้นค่ะ
การคัดเกรดตัวอ่อนจะดูตามหลักการให้คะแนน เมื่อแบ่งเกรดแล้วนักเพาะเลี้ยงตัวอ่อนก็จะมีการบันทึกข้อมูลของตัวอ่อนแต่ละตัวไว้อย่างละเอียดทั้งหมด เมื่อได้ผลจากทั้ง 3 ส่วนครบแล้วก็จะมีการนำผลทั้งหมดมาประเมินร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งผลก็จะเป็นเครื่องมือเบื้องต้นในการประเมินเพื่อประกอบการพิจารณาเลือกตัวอ่อนใส่กลับสู่โพรงมดลูกต่อไป
การเลือกเกรดตัวอ่อนจะมีผลกับความสำเร็จ ซึ่งถึงแม้ตัวอ่อนเกรดจะไม่ดีมากแต่ก็ยังมีโอกาสในการฝังตัวอยู่ เพราะหากเซลล์ไม่มีความผิดปกติใด ๆ โอกาสที่จะไปฝังตัวในโพรงมดลูกและเติบโตเป็นทารกก็ยังมีอยู่ บางครั้งแม้ตัวอ่อนที่ได้เกรดดีแต่มีโครโมโซมผิดปกติก็จะไม่เหมาะสมกับการฝังตัวได้เหมือนกัน
ดังนั้นในรายที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป หรือแท้ง 2 ครั้งขึ้นไป คู่สามี-ภรรยา คนใดคนหนึ่งอาจมีโครโมโซมผิดปกติ ก็จะมีการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเพิ่มเติมก่อนการย้ายกลับสู่โพรงมดลูกเพื่อความมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ
コメント