


.
“อาหารอัลคาไลน์” (Alkaline Diets) ก็คืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ซึ่งปัจจุบันนี้การกินอาหารอัลคาไลน์ เป็นทางเลือกหนึ่งที่นิยมกันในหมู่ผู้ต้องการมีสุขภาพดีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการกินอัลคาไลน์ เป็นการกลับไปกินอาหารแบบธรรมชาติ ก่อนที่มนุษย์จะปรุงแต่งอาหารกันมาก ๆ อย่างในทุกวันนี้
แทนที่จะกินอาหารซึ่งมีน้ำตาล ไขมัน หรือคอเลสเตอรอลสูง คนสายอัลคาไลน์ก็ไปกินพวกผักผลไม้ออร์แกนิก ธัญพืช โปรตีนบริสุทธ์จากถั่ว ไขมันดีต่อสุขภาพที่ได้จากเมล็ดแฟลกซ์ มะกอก หรือคาโนลา อย่างไรก็ตาม อาหารที่ว่ามานี้ไม่ใช่ว่าจะมีฤทธิ์เป็นด่างเท่านั้น บางอย่างก็เป็นกรด แต่เมื่อมันเข้ามาในร่างกายของเรา และผ่านกระบวนการย่อยและเผาผลาญเรียบร้อยแล้ว จะผลิตสิ่งที่เรียกว่า “Alkaline Ash” ขึ้นมา ผู้รักสุขภาพสายอัลคาไลน์เขาบอกว่า เมื่อร่างกายของเราสามารถรักษาสภาพความเป็นด่างไว้ได้เล็กน้อยแล้ว ระบบต่าง ๆ ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
ครูก้อยแนะนำว่าสำหรับผู้หญิงที่วางแผนท้องนั้นควรทานผักผลไม้ที่มีฤทธิ์อัลคาไลน์ เพราะว่าเมื่อเรามีเพศสัมพันธุ์แล้วสเปิร์มจะหลั่งออกมาแล้วว่ายเข้าทางช่องคลอดของเรา สาวๆรู้มั้ยคะว่าสเปิร์มนั้นจะตายหมดถ้าเมือกในช่องคลอด
(cervical fluid )ของเรามีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นถ้าเราทานอาหารที่มีฤทธิ์อัลคาไลน์ จะช่วยรักษาสภาวะที่เป็นด่างซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมกับสเปิร์ม ทำให้สเปิร์มมีชีวิตอยู่ได้และว่ายไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ยังมีผลวิจัยพบ PH level ยังส่งผลต่อคุณภาพของไข่และสเปิร์ม โดยพบว่าว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ชอบทานเนื้อสัตว์ หรือทานโปรตีนจากสัตว์จะมีสภาวะร่างกายที่เป็นกรดซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อไข่และสเปิร์มค่ะ
มาดูกันดีกว่าว่าผักที่มีฤทธิ์อัลคาไลน์ได้แก่อะไรบ้าง

รู้หรือไม่ว่าถั่วอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์เป็นกรดจนกระทั่งมันแตกหน่อ มีเพียงไม่กี่ชนิดที่มีฤทธิ์เป็นกลางหรือเป็นด่างเล็กน้อย ซึ่งอัลมอนด์เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ดังนี้ค่ะ
-ให้พลังงานสูง ไขมันดี ทานแล้วไม่อ้วน อัลมอนด์ 1 เม็ด ให้พลังงาน 7 แคลอรี่
-ในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย อัลมอนด์มีสารอาหารมากที่สุด โดยเฉพาะโปรตีน จึงช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้วอัลมอนด์ให้โปรตีนสูงถึง 21.15%
-บำรุงประสาท บำรุงสมอง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในอัลมอนด์มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในปริมาณสูง
-ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึม วิตามิน B6 ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึมในการเผาผาญโปรตีน ที่จะนำไปซ่อมแซมเซลล์สมอง วิตามิน B6 ยังช่วยเพิ่มขบวนการสร้างสารสื่อประสาท ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสัน
-ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ที่มีความสำคัญในการลดการอุดตันของเส้นเลือด การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันดี และลดระดับไขมันเลวหรือ LDL มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า หากรับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 2 หยิบมือจะช่วยลดระดับ LDL ได้ถึง 9.4%


ส่วนมากอาร์ทิโช้คถูกใช้วางไว้ด้านบนของสลัดหรืออยู่ในน้ำจิ้ม แต่จริง ๆ แล้วประโยชน์ของมันมีมากหลายจนควรเอามาปรุงเป็นอาหารจานหลัก เช่น เป็นผักที่มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จากการทดสอบผักต่าง ๆ 1,000 ชนิดพบว่า อาร์ทิโช้คมีสารดังกล่าวมากเป็นลำดับ 7 เลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย รวมถึงป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจได้ด้วย สารอาหารอื่น ๆ ในอาร์ทิโช้ค ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต

หน่อไม้ฝรั่งมีความเป็นด่างสูง แต่ไม่ใช่แค่นั้นที่น่าสนใจ มันยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ คุณค่าทางอาหาร และความสามารถในการจำกัดสารพิษ นอกจากนี้ที่น่าสนใจมากสำหรับสาว ๆ คือมันมีประโยชน์ในด้านชะลอความแก่ด้วยนะ ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ในหน่อไม้ฝรั่งก็ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี เหล็ก

อะโวคาโดมีโพแทสเซียมสูงพอ ๆ กับไขมันดีสูง สำหรับน้ำมันอะโวคาโดคุณก็สามารถใช้มันแทนน้ำมันอื่น ๆ ได้เลย นอกจากนี้อะโวคาโดยังมีวิตามินซี วิตามินเอ และไฟเบอร์อีกด้วย


โหระพามีฤทธิ์เป็นด่าง และมันยังมีสารฟลาโวนอยด์ซึ่งช่วยเรื่องการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อีกทั้งทั่ว ๆ ไปแล้วโหระพานั้นก็มีสรรพคุณรักษาโรคภัยไข้เจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกายได้ สารอาหารอื่น ๆ ในโหระพา ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินเค แคลเซียม

บีทรูทเป็นผักชนิดหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มค่า pH ให้ร่างกายของคุณได้ (ค่า pH เพิ่มคือเพิ่มความเป็นด่าง) ที่น่าสนใจคือบีทรูทมีรงควัตถุเบทาเลน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ควรทานบีทรูทแบบสดๆ เพราะถ้าเอาไปปรุงหรือดองจะทำให้คุณค่าทางอาหารลดลง สารอาหารอื่น ๆ ในบีทรูทได้แก่ วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต


บางคนกินบร็อกโคลีทุกวันเพื่อรักษาสุขภาพและให้ประโยชน์ด้านรักษาความเป็นด่างเอาไว้ ซึ่งจะให้ได้ประโยชน์อย่างนั้นคุณควรจะกินบร็อกโคลีราว ๆ 3-4 วันต่อสัปดาห์เลยค่ะ นอกจากนี้สารอาหารอื่น ๆ ของบร็อกโคลีที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียมค่ะ
มีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงกินผักผลไม้น้อย มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 12%
โดยงานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ Human Reproduction
พบว่าผู้หญิงที่กินผลไม้ 3 ครั้งขึ้นไป/วัน มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์เร็วกว่าผู้หญิงที่กินผลไม้น้อยกว่า 1-3 ครั้ง/เดือน
นอกจากนั้นผู้หญิงที่กินผลไม้น้อยที่สุด มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 12% เลยทีเดียว

Cr. Fertileheart
Trueplookpanya
GFC
#ครูก้อย – #BabyandMom.co.th –