top of page

ตอบคำถามคาใจแม่

ทำการบ้านประจำ ทำไมไม่ท้อง ?

คู่สมรสที่วางแผนจะมีเบบี๋ บางคู่พยายามมาเป็นปีเจ้าตัวน้อยก็ไม่มาสักที การตั้งครรภ์นั้นมีปัจจัยที่สำคัญหลายปัจจัย การทำการบ้านถี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีโอกาสท้องมากขึ้นในทุกกรณี เพราะยังมีปัจจัยในด้านอื่นอีกนอกจาก "ไข่" และ "สเปิร์ม" จากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย

วันนี้ครูก้อยจะพาแม่ๆ ไปสำรวจตัวเองและคุณสามีกันค่ะ ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ หากพบปัญหา การเข้าพบแพทย์มีบุตรยากเพื่อใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้แม่ๆมีโอกาสสมหวังนะคะ

1. #เซลล์ไข่ด้อยคุณภาพ

อายุของฝ่ายหญิงมากขึ้น เซลล์ไข่เสื่อมคุณภาพลงเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป เซลล์ไข่จะมีจำนวนลดลง
ซ้ำร้ายคือเซลล์ไข่ของผู้หญิงในวัยนี้เป็นเซลล์ไข่ที่มีเปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของโครโมโซมสูงถึง 50%

และยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นจนถึงวัย 40 ปี เซลล์ไข่จะมีเปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของโครโมโซมสูงถึง 80-90% เลยทีเดียว

"ไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติ" ส่งผลต่ออัตราการปฏิสนธิที่ต่ำลง เพราะเป็นเซลล์ไข่แก่ เสื่อม หรือถ้าปฏิสนธิจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีพลังงานที่จะแบ่งเซลล์ตามปกติ ส่งผลให้ "ตัวอ่อนไม่ฝังตัว" แท้ง หรือ ฝ่อไป
ดังนั้นหากผู้หญิงมีอายุมาก การท้องธรรมชาติจึงมีโอกาสต่ำลงนั่นเองค่ะ

โดยจากสถิตินั้นอายุและโอกาสท้องตามธรรมชาติในแต่ละรอบเดือนมีเปอร์เซ็นต์ดังต่อไปนี้

ผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 35 จะมีโกาสท้องอยู่ที่ 25-30% ในทุกรอบเดือน

ผู้หญิงอายุ 35-39 มีโอกาส 8-15%

ผู้หญิงอายุ 40-42 มีโอกาส 5%

ผู้หญิงอายุ 43 มีโอกาส 1-2%

ยิ่งไปกว่านั้น มีงานวิจัยศึกษาพบว่าผู้หญิงที่อายุมากจะมีปริมาณ Co enzyme Q10 ในร่างกายลดลง ซึ่ง Q10 ส่งผลต่อการทำงานของระบบ "ไมโตคอนเดรีย" ซึ่งเป็นขุมพลังของเซลล์ทุกเซลล์ รวมถึง "เซลล์สืบพันธุ์" หรือ "เซลล์ไข่" อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ Mitocondrial function ของเซลล์ไข่ต้องการ พลังงานจาก Q10 เมื่อแก่ลงร่างกายได้รับ Q10 ไม่พอ Mitocondria ซึ่งคือเชื้อเพลิงของเซลล์ไข่ลดลง "เซลล์ไข่จึงไม่มีพลังงาน" พอที่จะเติบโตหรือแบ่งเซลลล์ มันจึงเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงอายุมากท้องยากนั่นเองค่ะ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and Sterility เมื่อปี 2021 ได้ทำการทดลองให้ผู้หญิงอายุมาก (อายุ 38-46 ปี) พบว่าการรับประทาน Q10 ช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่รวมถึง ลดอัตราการแบ่งเซลล์และโครโมโซมผิดปกติของเซลล์ไข่อีกด้วย

การได้รับ Q10 ในรูปอาหารเสริมที่เพียงพอก่อนการตั้งครรภ์จึงจำเป็นสำหรับแม่ๆที่วางแผนตั้งครรภ์นะคะ

2. #สเปิร์มไม่แข็งแรง

อยากท้องต้องมี "อสุจิที่แข็งแรง" จากคุณสามีด้วยนะคะ คุณภาพของอสุจิสามารถเช็คได้ด้วยการเข้า "ตรวจวิเคราะห์คุณภาพของอสุจิ" (Semen Analysis) ซึ่ง หากพยายามกันมาเป็นปีแล้วควรพาสามีไปตรวจเชื้อด้วยค่ะ ซึ่งเกณฑ์อสุจิที่มีคุณภาพ มี 4 ข้อ ดังนี้

1.ปริมาตรของน้ำเชื้อที่หลั่ง (Volume)
ต้องหลั่งได้ไม่น้อยกว่า 1.5 CC. ต่อการหลั่ง
1 ครั้ง

2.จำนวนสเปิร์ม (Concentration)
ต่อการหลั่ง 1 ครั้ง ต้องไม่น้อยกว่า 15 ล้านตัวต่อ 1 cc.

3.อัตราการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม (Motility)
ต้องมีเปอร์เซ็นการเคลื่อนไหวไม่ต่ำกว่า 40%

4.รูปร่างของสเปิร์ม (Morphology)
ต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ ปกติ ไม่น้อยกว่า 4%

ซึ่งหากไม่ไปตรวจ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลย ซึ่งมันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมแม่ๆ ถึงไม่ท้องสักที เพราะสามีเชื้อน้อย เชื้อไม่วิ่ง หรือรูปร่างผิดปติ
การบำรุงสเปิร์มให้มีคุณภาพสามารถทำได้ด้วยการเน้นเสริมอาหารที่ให้แร่ธาตุ Zinc เช่น เมล็ดฟักทอง และ ไลโคปีนจากมะเขือเทศ เน้นโอเมก้า 3 ด้วย ซึ่งได้จากปลาแซลมอน แฟลกซีด ถั่วต่างๆ อัลมอนด์ เป็นต้น

และควรเสริม Fish Oil กับ Q10 ซึ่งมีงานวิจัยศึกษาพบว่าช่วยเพิ่มคุณภาพสเปิร์มอีกด้วย

นอกจากนี้ต้องดูแลให้คุณสามีงดดื่ม งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อจะได้มีเจ้าสเปิร์มที่แข็งแรงค่ะ

3. #ไข่ไม่ตก

แม่ๆต้องหมั่นเช็ครอบเดือนและ "วันไข่ตก" ด้วยนะคะ ภารกิจปั๊มเบบี๋แค่ทำถี่ไม่ตอบโจทย์ค่ะ ต้องทำการบ้านถูกวันคือวันไข่ตก เคล็ดลับคือ ทำการบ้านก่อนวันไข่ตก 3-5 วันเพื่อเพิ่มโอกาส เพราะอสุจิสามารถอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิงได้นานถึง 72 ชั่วโมง มันจึงไปรออยู่ก่อนได้ เมื่อไข่ตกปุ๊บก็สามารถเข้าเจาะปั๊บ (นับวันไข่ตกให้เป็น ง่ายๆ คือ ไข่จะตกในDay14 ของรอบเดือนค่ะ)

รอบเดือนของแต่ละคนสั้น ยาวไม่เท่ากันนะคะ วันแรกของรอบเดือนคือวันที่มีประจำเดือนวันแรก วันสุดท้ายคือวันก่อนหน้าที่ประจำเดือนครั้งถัดไปมาอีกครั้ง นั่นคือ 1 รอบเดือน ซึ่งปกติจะมี 28 วัน ไม่ควรยาวเกิน 35 วัน

วันไข่ตกก็คือ เอารอบเดือน ลบ 14 ก็จะเป็นวันไข่ตกค่ะ เช่น เรามีรอบเดือน 28 วัน ไข่ก็จะตกใน Day 14 ถ้าเรามีรอบเดือน 30 วัน ไข่ก็จะตกใน Day 16 ค่ะ

4. #ท่อนำไข่ตัน

"ท่อนำไข่" คือ จุดนัดพบของไข่และอสุจิ หากท่อนำไข่ตันทั้งสองข้าง ไข่กับอสุจิก็ไม่สามารถมาพบกันได้ โอกาสท้องธรรมชาติก็ไม่มีค่ะ

เมื่อ "ไข่ตก" ไข่จะเดินทางเข้าสู่ท่อนำไข่
ในกรณีท่อนำไข่ไม่ตัน อสุจิ จะมาผสมกับไข่ในท่อนำไข่นี้ และปฎิสนธิกลายเป็นตัวอ่อน
จากนั้นตัวอ่อนจะเดินทางเข้าโพรงมดลูกและฝังตัว เติบโตเป็นทารกในครรภ์ต่อไป

ปกติท่อนำไข่และรังไข่อยู่ชิดกัน แต่เป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นแม้ว่าท่อนำไข่จะตัน รังไข่ยังคงทำงานผลิตไข่และฮอร์โมนได้ตามปกติ

ดังนั้นถึงแม้ว่าถ้าท่อนำไข่ตัน ไข่จะตกตามปกติแต่การท้องธรรมชาติคงยากมาก เพราะท่อนำไข่เป็นบริเวณที่อสุจิกับไข่ปฏิสนธิกันก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงมาฝังตัวที่มดลูก ถ้าท่อนำไข่ตันส่งผลให้อสุจิไม่สามารถไปพบกับไข่ได้ หรือถ้าท่อนำไข่ตีบอสุจิสามารถเล็ดลอดเข้าไปพบและปฏิสนธิกับไข่ แต่ไม่สามารถเคลื่อนตัวมาฝังตัวที่มดลูกได้ และเกิดการฝังตัวที่ท่อนำไข่ทำให้เกิด "ท้องนอกมดลูก" ซึ่งเป็นอันตราย

อย่างไรก็ตามท่อนำไข่มี 2 ข้าง หากตันข้างเดียวก็ยังมีโอกาสท้องธรรมชาติได้ เพราะรังไข่ก็ยังผลิตไข่ และไข่ก็ตกตามปกติ แต่อาจท้องยากเพราะบางรอบเดือนไข่อาจไปตกในข้างที่อุดตัน ทำให้รอบเดือนนั้นไม่มีโอกาสท้อง

ดังนั้นย้ำอีกครั้งค่ะ พยายามมาเป็นปียังไม่ท้องต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุนะคะ สมมติว่าท่อนำไข่ตัน มันอาจไม่มีอาการบ่งบอกใดๆเลยค่ะ ปล่อยละเลยจนอายุมาก ก็ยิ่งท้องยากไปอีกเพราะเซลล์ไข่ก็เสื่อมลงไปเรื่อยๆ

5. #มดลูกมีปัญหา

เพราะ "มดลูก" คือ "บ้านหลังแรกของลูก" เมื่อเกิดการปฏิสนธิขึ้นแล้ว ตัวอ่อนน้อยๆ จะเคลื่อนมาฝังตัวที่โพรงมดลูกของแม่ ดังนั้นมดลูกของแม่ๆ ต้องพร้อม แข็งแรง หนาตัวเพียงพอ สะอาด เลือดไหลเวียนเพียงพอที่จะโอบอุ้มตัวอ่อนน้อยๆให้ฝังตัวอย่างสมบูรณ์ได้

แม่ๆ ที่มีปัญหาเรื่องผนังมดลูกบาง ยากมากที่ตัวอ่อนจะฝังตัวได้ ผนังมดลูกที่หนาตัวพร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนต้องหนา 8-10 มิล (แต่ไม่ควรเกิน 14 มิล) นอกจากนี้ยังต้องสะอาด เรียงสามชั้นสวย ( Triple Lines) โดยแม่ๆ ต้องรู้จักการบำบัดมดลูก เคลียร์มดลูกให้สะอาดจากการหมักหมมคั่งค้างของเลือดประจำเดือนเก่า ซึ่งหากผนังมดลูกหนาทึบไปด้วยเลือดเก่าที่คั่งค้าง ออกซิเจนก็จะนำพา

เลือดไปเลี้ยงมดลูกได้ไม่เพียงพอ สภาวะของมดลูกแบบนี้ไม่ส่งเสริมการฝังตัวของตัวอ่อนค่ะ การดื่มชาดอกคำฝอยเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งค่ะที่จะช่วยขับลิ่มเลือดเก่าคั่งค้าง เริ่มดื่มวันแรกที่มีประจำเดือนยาวไป 7-10 วัน จะเป็นการเคลียร์มดลูกให้สะอาด พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน

และต้องรักษามดลูกให้อยู่ใน "สถาวะอุ่น" โดยทานอาหารที่มีฤทธิ์อุ่นเพื่อให้ blood flow ได้แก่ น้ำขิง หรือ "น้ำมะกรูดคั้นสด" ที่มีสาร "ไบโอฟลาโวนอยด์" สูง ช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น

ที่สำคัญต้องรู้จัก "ดีท็อกซ์สารพิษที่คั่งค้างในมดลูก" และอวัยวะภายในด้วยการทำ Castor Oil Pack หรือการ "แพ็คน้ำมันละหุ่ง" เป็นการขับสารพิษต่างในมดลูก เป็นเตรียมมดลูกที่สะอาด ปลอดภัยให้ตัวอ่อนพร้อมฝังตัวค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นแม่ๆ บางคนไม่เคยตรวจภายในเลย แค่คิดว่าทำไมเราไม่ท้องแต่ไม่เคยตรวจหาสาหตุ หากมีเนื้องอกในมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการฝังตัวของตัวอ่อนทั้งสิ้นค่ะ

ดังนั้นมดลูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญมากในการที่จะชี้ว่าแม่ๆจะตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้หรือไม่

6. #มีโรคประจำตัว / #ใช้ยาบางชนิด

โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการท้องยาก เช่น เบาหวาน ความดัน ไทรอยด์เป็นพิษ ไขมันในเลือดสูง โลหิตจาง เป็นต้น

โรคเหล่านี้ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ผิดปกติ จึงส่งผลเป็นการรบกวนการสร้างฮอร์โมนเพศ หรือ การไหลเวียนของเลือดไม่เพียงพอไปเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์

ยิ่งไปกว่านั้นหากยังมีโรคประจำตัวแล้วเกิดการตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทารกในครรถ์ด้วย เช่น เบาหวานเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ไทรอยด์เป็นพิษ อาจเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น

การตรวจร่างกายก่อนการตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก หากพบโรคเหล่านี้จะได้รักษาหรือเยียวยาอาการก่อนการตั้งครรภ์ค่ะ

การบำรุงเซลล์ไข่ บำรุงมดลูก บำรุงสเปิร์ม และปรับฮอร์โมนให้สมดุลเตรียมพร้อมตั้งครรภ์ทำได้ด้วยหลักโภชนาการที่ถูกต้อง เน้นโปรตีน ลดคาร์บ งดหวาน ทานกรดไขมันดี เน้นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และเสริมวิตามินบำรุง ตามคัมภีร์อาหารของครูก้อย อาหาร 70% วิตามิน 30% ค่ะ

ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด ปฏิบัติแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โอกาสท้องธรรมชาติอยู่ไม่ไกลค่ะ

อย่างไรก็ตามหากมีปัญหารุนแรง ท่อนำไข่ตัน ผนังมดลูกบาง ไม่มีไข่ หรือ ปัญหาความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ มีโรคประจำตัวต้องพบแพทย์เพื่อรักษาและหาแนวทางในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์รักษาต่อไปค่ะ

ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page