top of page
ค้นหา

อยากท้องต้องกินอะไร เปิดคัมภีร์อาหาร ที่คนอยากท้องต้องกิน!



อยากท้องต้องกินอะไร คำถามที่ว่าที่คุณแม่หลายๆ คนอยากทราบ เนื่องจากผู้หญิงเรานั้นไม่ได้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่เท่ากันเสมอไป ในบางคนมีโอกาสมาก แต่ในบางคนก็มีโอกาสน้อย จึงจำเป็นต้องพึ่งการเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์และการบำรุงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้สมหวังกับการมีเจ้าตัวน้อย


อยากท้องต้องกินอะไร บำรุงตัวเองอย่างไรจึงจะท้องได้?


หากพูดถึงการบำรุงนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลระบบภายในให้ดี เพราะสุขภาพจะดีได้ก็ต่อเมื่อระบบในร่างกายของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น อย่างไรก็ดี การบำรุงที่ง่ายที่ง่ายที่สุด คือการเลือกรับประทานอาหารหรือวัตถุดิบที่มีคุณประโยชน์ให้เหมาะกับร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งครรภ์ หากบำรุงถูกจุด ก็ยิ่งส่งผลให้ตั้งครรภ์ง่ายขึ้นค่ะ


คัมภีร์อาหาร ผลิตภัณฑ์ จาก ครูก้อย ต้องทานอะไร ถึงจะท้องง่าย มาดูกัน!


สำหรับครูก้อยแล้ว การดูแลตัวเองช่วงเตรียมตัวตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ดังนั้น เรามาดูกันค่ะว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง


1.เมล็ดฟักทอง


สำหรับเมล็ดฟักทองใครจะซื้อแบบสดมาคั่วเองก็ได้ค่ะ ครูก้อยจะทานแบบออแกนิค ชนิดอบมาแล้วค่ะ ครูก้อยและสามีจะทานเล่นวันละ 1 กำมือ มันเป็นทั้งของว่างที่เคี้ยวสนุก แถมเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย


ในการวิจัยสมัยใหม่พบว่า เมล็ดฟักทอง มีแร่ธาตุและสารอาหารหลายชนิด โดยเป็นแหล่งของโปรตีน ให้โปรตีนใกล้เคียงกับถั่วเหลือง และยัง มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค ฟอสฟอรัส สังกะสี ทริปโตเฟน แมงกานีส แมกนีเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร


นอกจากนี้เมล็ดฟักทองยังอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด อย่างเช่น กรดไขมันโอเมก้า3 และมีคอเลสเตอรอลแทบจะเป็นศูนย์ ฯลฯ


คุณสมบัติเด่นอื่นๆ เช่น ช่วยลดปริมาณโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ น้ำมันในเมล็ดฟักทองยังมี แกมม่าโทโคฟีรอล (รูปแบบหนึ่งของวิตามินอี) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ช่วยให้ผนังมดลูกหนาตัว


ประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง


แม้จะเป็นเมล็ดพืชเม็ดเล็กๆ แต่เมล็ดฟักทองก็ให้คุณประโยชน์มากมายทีเดียวค่ะ เช่น


1. ในเมล็ดฟักทองมีไขมันดี


ในเมล็ดฟักทองมีไขมันดี จึงช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ และไขมันเลวในเลือดได้


2. ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก


จากการศึกษาพบว่า ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อม ลูกหมากโต และการเป็นหมันในผู้ชาย (อย่าลืมแบ่งสามีเคี้ยวด้วยนะจ๊ะ)


3. ช่วยลดการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ


แร่ธาตุฟอสฟอรัสช่วยลดการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และบำรุงสุขภาพอีกสารพัด


4. ช่วยต่อต้านโรควิตกกังวล


ทริปโตเฟน (tryptophan) ที่พบในเมล็ดฟักทอง ช่วยต่อต้านโรควิตกกังวล ในปี 2007 การศึกษาของ Canadian Journal of Physiology and Pharmacology พบว่า #ทริปโตเฟน (tryptophan) ที่พบในเมล็ดฟักทอง ช่วยบรรเทาความวิตกกังวล สมองใช้ทริปโตเฟนเพื่อทำให้คุณรู้สึกมีความสุขและสบายใจ หากร่างกายมีทริปโตเฟนน้อยเกินไปก็สามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ เมื่อคุณรู้สึกว่ามีเครียดมากหลังจากวันทำงานที่ยาวนาน รับประทานเมล็ดฟักทองคั่วจะช่วยให้คุณสงบลงได้


เมล็ดฟักทองมีทริปโตเฟนอยุ่เป็นจำนวนมากซึ่งร่างกายใช้แปลงเป็นเซโรโทนิน (serotonin) และเมลาโทนิน (Melatonin) เพื่อช่วยในการนอนหลับพักผ่อนยามค่ำคืน เคี้ยวเล่นก่อนนอนสัก 1 ชั่วโมงก็ได้ค่ะ (ว่าที่คุณแม่จำเป็นมากที่จะต้องลดความกังวลนะคะ เพราะความเครียดเป็นตัวร้ายที่จะทำลายเซลล์ไข่ ทำให้เราท้องยาก!)


5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี


การบริโภคเมล็ดฟักทองสามารถช่วยลดระดับของ LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) ในร่างกายของเราได้ ใน 2012 วารสารทางการแพทย์ของแอฟริกันได้ตีพิมพ์ข้อมูลหนึ่ง นักวิจัยพบว่า หนูที่เลี้ยงด้วยเมล็ดฟักทองมีระดับ HDL (คอเลสเตอรอลชั้นดี) เพิ่มขึ้นและระดับ LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด กินเมล็ดฟักทองอบแห้ง 2-4 ช้อนโต๊ะทุกวัน โดยไม่ต้องเพิ่มเกลือหรือปรุงรสใดๆเพื่อช่วยลดระดับ LDL ของคุณ


6. การควบคุมน้ำตาลในเลือด


ใน 2010 วารสารโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนได้ทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมล็ดฟักทองกับโรคเบาหวาน การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เมล็ดฟักทองสามารถช่วยควบคุมระดับอินซูลินและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานโดยการลดสภาวะความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) นอกจากนี้ยังพบว่ามีสารเคมีในน้ำมันเมล็ดฟักทองช่วยป้องกันโรคไตจากเบาหวานได้อีกด้วย คนที่เป็นโรคเบาหวานสามารถรับประมาณเป็นอาหารว่างเพื่อสุขภาพ โดยกินได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน


7. ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน


เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยสังกะสีที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณ หากขาดธาตุสังกะสีมากๆจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย เกิดสิวและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย


8. เมล็ดฟักทองมีวิตามีนอีสูง ช่วยชะลอปัญหาการมีบุตรยากตามวัยในสตรี


และวิตามินอี ยังช่วยป้องกันผนังอสุจิจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน การทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า วิตามินอีช่วยเสริมสร้างการเจริญพันธุ์


9. มีความสำคัญต่อการตกไข่



10. ช่วยในการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ที่เหมาะสม


เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสและสังกะสีในปริมาณสูง ซึ่งสังกะสีจำเป็นสำหรับการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ที่เหมาะสม การทำงานตามปกติของต่อมลูกหมาก หากขาดสังกะสีจะเป็นสาเหตุของการเป็นหมัน ทำให้ขนาดและโครงสร้างของต่อมลูกหมากผิดปกติ


นอกจากนี้เมล็ดฟักทองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อย่างเช่นซีลีเนียม จะช่วยร่างกายสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


2.ดอกคำฝอย


ชาดอกคำฝอยดีต่อสุขภาพ คนวางแผนท้องควรกิน!

แม่หลังคลอดควรกิน! แต่... คนท้องห้ามกิน!!!


ในยามที่ตั้งครรภ์สุขภาพร่างกายของคุณแม่จะไม่แข็งแรงเหมือนกับช่วงปกติ ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่สมดุลเหมือนปกติ ดังนั้นจึงมีอาการต่างๆ นานา ที่ดูแล้วรู้สึกว่า ป่วยง่ายไม่สบาย มีสุขภาพไม่ค่อยดี ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องพยายามรักษาสุขภาพมากขึ้น เพื่อทั้งตัวเองและลูกน้อยในครรภ์


ซึ่งการรักษาและดูแลสุขภาพ ก็มีเรื่องที่เป็น ข้อห้ามสำหรับคนท้อง จำนวนมากมายหลายข้อ และหลายแบบทั้งจากการแนะนำของแพทย์ และจากคำบอกเล่าที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ


แต่แท้จริงแล้ว ดอกคำฝอยมีสรรพคุณทางยาจะดีต่อผู้หญิงเกี่ยวกับการบำรุงเลือด บำรุงหัวใจและสุขภาพทั่วไป เช่น ใช้สำหรับประจำเดือนไม่มา มาน้อย หรือปวดประจำเดือน ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ป้องกันอาการความดันโลหิตสูง ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยสลายลิ่มเลือด ช่วยบำรุงประสาท ลดความเครียด ช่วยลดคอเลสเตอรอล ทำให้มดลูกอุ่น เป็นต้น


ประโยชน์ของดอกคำฝอย


สำหรับดอกคำฝอยนั้น นอกจากจะสามาถทานได้ ไม่ได้เป็นจริงตามความเชื่อที่กล่าวแล้ว ก็มีคุณประโยชน์มากมายค่ะ เช่น


  1. ช่วยระงับอาการปวดประจำเดือนของสตรี

  2. ช่วยบำรุงโลหิตประจำเดือนของสตรี ช่วยขับระดูโลหิตประจำเดือนของสตรี

  3. ช่วยกระจายเลือด แก้ประจำเดือนคั่งค้างมาไม่เป็นปกติ ช่วยสลายลิ่มเลือดเก่าที่คั่งค้าง ทำให้มดลูกสะอาด

  4. ช่วยแก้อาการปวดมดลูก และลดอาการอักเสบของมดลูกในสตรี

  5. มีฤทธิ์ทำให้มดลูกอุ่น

  6. แก้อาการตกเลือด อาการปวดท้องหลังคลอด น้ำคาวปลาไม่หมด (ช่วยขับน้ำคาวปลา)

  7. ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย บำรุงน้ำเหลืองให้เป็นปกติ

  8. ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง

  9. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น

  10. ช่วยบำรุงโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษ และช่วยฟอกโลหิต

  11. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ชอบกินของหวานเพราะจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เลือดเหนียวข้นจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ไม่ดี โดยดอกคำฝอยจะช่วยสลายลิ่มเลือดให้เล็กลงช่วยป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวกันเป็นลิ่มเลือด

วิธีรับประทาน


ใส่ดอกคำฝอยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 หยิบมือ ล้างด้วยน้ำร้อนครึ่งแก้ว 5 วินาที รินน้ำออกเพื่อกระตุ้นดอก จากนั้นเติมน้ำร้อนอีกรอบ แช่ไว้ 2-5 นาที ก็ดื่มได้เลยค่ะ ทั้งน้ำทั้งดอก


คำแนะนำจากครูก้อย


สำหรับตัวครูก้อยจะดื่มชาดอกคำฝอยในวันแรกของการมีประจำเดือน และทานต่อเนื่องไป 7-10 วัน หรือจนตรวจเจอว่าตกไข่ เพื่อเป็นการเคลียร์มดลูก ขับลิ่มเลือดเก่า ล้างมดลูกให้สะอาด ไม่ให้มีเลือดเก่าของประจำเดือนคั่งค้าง ซึ่งเป็นผลทำให้ผนังมดลูกสกปรก และหนาทึบเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ติดลูกยาก


เริ่มตอนไหน? : ประจำเดือนมาวันแรก ก็เริ่มชงดื่มได้เลยค่ะ วันละแก้ว จิบๆช่วงเวลาไหนก็ได้ค่ะ


หยุดทานตอนไหน? : หยุดหลังไข่ตก หรือหยุดทานเมื่อท้องแล้ว (ให้คิดว่าหลังไข่ตกคือเราท้องแล้ว)


ปริมาณที่ทาน? : ดอกคำฝอย 1 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ทานทั้งน้ำทั้งดอก


คนท้องทานได้มั้ย? : ท้องแล้วห้ามทานดอกคำฝอย!เพราะสรรพคุณทางยามีฤทธิ์ขับลิ่มเลือด อาจแท้งได้ *คนใส่ตัวอ่อนแล้วก็งดนะคะ*


3. งาดำ


งาดำ (Black sesame seeds) เป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ สามารถรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องได้ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และหากรับประทานเป็นประจำ ร่างกายก็จะแข็งแรงมากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน


ประโยชน์ของงาดำ

  1. ในงาดำยังมีโปรตีนสูงบางชนิดซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ช่วยในเรื่องการนอนหลับ ช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมองทำให้หลับพักผ่อนสบาย

  2. แคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก คนวางแผนท้อง คนท้องควรทานเป็นประจำ

  3. งาดำมีสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวแห้ง บำรุงเส้นผมให้ดำเงางามและแข็งแรง ป้องกันการเกิดผมหงอก

  4. ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

  5. งาดำช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยขยายหลอดเลือด

  6. ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันลิ่มเลือด

  7. งาดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้

  8. งาดำมีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและยังช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ร่างกายจึงแข็งแรงต่อเชื้อโรค

  9. ป้องกันโรคหวัด โรคเหน็บชา ตะคริว

วิธีรับประทาน


คนบำรุงไข่ ก่อนท้องทานวันละ 3-4 ช้อนชา


การรับประทานงาดำแบบป่นดีต่อระบบย่อยอาหารที่สุด แต่งาแบบป่นมักจะเป็นเชื้อราได้ง่ายกว่างาชนิดอื่นๆ จึงต้องเก็บรักษาดีๆ ต้องเก็บไว้ให้พ้นความชื้น อากาศ ความร้อนและแสงแดด เพราะเชื้อราทำให้เกิดอาการติดเชื้ออื่นๆ ได้


ข้อควรระวัง: สตรีมีครรภ์ในไตรมาสแรก อาจจะต้องงดไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อรา (กรณีเก็บรักษางาดำไม่ดี)


คำแนะนำจากครูก้อย


ส่วนตัวครูก้อยมักนำงาดำมาใส่ในอาหารอย่างอื่น เช่น โรยในจานข้าว เช๊คกับตัวโปรตีนเสริมอาหาร ชงกับนมแพะ หรือนมอัลมอนด์อุ่นๆ การรับประทานงาดำเปล่าๆ เป็นเมล็ดจะต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพื่อให้เม็ดงาแตกออก ร่างกายจึงจะดูดซึมสารอาหารจากงาดำได้ดี ดังนั้นครูก้อยแนะนำให้ทานเป็นงาดำคั่วบดเลยจะดีที่สุดค่ะ


สำหรับคนวางแผนท้องควรรับประทานงาดำวันละ 3-4 ช้อนชา ส่วนคุณแม่ท้องในช่วงไตรมาสที่ 2 ทานงาดำเป็นประจำช่วยให้ลูกน้อย ผิวสวย และผมดก ด้วยค่ะ


ทั้งนี้คุณแม่อาจจะนำมาทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จะให้แคลเซียมที่สูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า และยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอีกมากมายเลยทีเดียวค่ะ


4.Pure Red (Beetroot ,Carrot,Tomato,Pomegranate)


สำหรับว่าที่คุณแม่คุณพ่อที่เตรียมพร้อมตั้งครรภ์


ช่วยเสริมภาวะการเจริญพันธุ์ทั้งหญิงและชาย


ประโยชน์ของ Pure Red

  1. ทับทิม มีโฟเลทและกรดโฟลิคสูง มีสารแอนตี้ออกซิเเด๊นท์ ช่วยให้เซลล์ไข่สวย

  2. บีทรูท เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในมดลูก เหมาะกับคนที่วางแผนจะทำ IVF,ICSI เพราะหัวบีทรูท มีสารสีแดงที่มีชื่อว่า บีทานิน (Betanin) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน เป็นตัวช่วยยับยั้งและลดการเติบโตของเนื้องอกได้ แถมยังทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารสีม่วงที่มีชื่อว่า แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้น การดื่มน้ำบีทรูทเป็นประจำจะช่วยป้องกันโลหิตจาง และยังเสริมสร้างพละกำลังและความแข็งแรง ลดอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลัง ทำให้อึดทนทานมากขึ้นถึง 16% เลยทีเดียวค่ะ

  3. แครอท มีเบต้าแคโรทีน จัดเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ช่วยให้ไข่สวย เสปิร์มแข็งแรง เพิ่มปริมาณและคุณภาพของเสปิร์ม

  4. มะเขือเทศ มีไลโคปีน มีงานวิจัยชี้ว่าช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มได้ถึง 70% ทำให้เสปิร์มแข็งแรง ว่ายเร็ว ลดอัตราเสปิร์มที่ผิดปกติ


5.Pure Green (Alfalfa,Wheatgrass,Spirulina,Moringa)


Pure Green เพิ่มภาวะการเจริญพันธุ์ (เน้นหญิง)


สไปรูลิน่า เป็นแหล่งโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีคุณภาพสูง เหมาะกับหญิงที่ต้องบำรุงร่างกายเตรียมตัวตั้งครรภ์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคุณภาพของไข่


สาหร่ายสไปรูลิน่า เป็นสาหร่ายเซลล์สีเขียวแกมน้ำเงิน ถูกค้นพบว่าเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่ง มีโปรตีนสูงถึง 70 % โดยน้ำหนักแห้ง มีกรดอะมิโนมากถึง 18 ชนิด ซึ่งโปรตีนของสไปรูลิน่ามีปริมาณสูงกว่าเนื้อสัตว์ สาหร่ายสไปรูลิน่า จึงได้รับเลือกจากองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกา (NASA) ให้ใช้เป็นแหล่งโปรตีนของนักบินอวกาศ


สไปรูลิน่ามีวิตามินที่มีคุณค่าต่างๆ มากมาย เช่น วิตามินซี บี 1 บี 2 บี 12 และวิตามินอี นอกจากนี้ สไปรูลิน่าอุดมด้วยกรดไขมันที่จำเป็นหลายชนิด เช่น แกมมาไลโนเลนิก(Gamma-linolenic Acid: GLA) ซึ่งมากกว่าน้ำมันพริมโรส 3 เท่า มีผนังเซลล์ที่นิ่ม อ่อนบาง จึงดูดซึมและย่อยง่ายกว่าสาหร่ายชนิดอื่นๆ สไปรูลิน่าได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี เป็นแหล่งอาหารเพื่อสุขภาพ เพิ่มภูมิคุ้มกันและฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกายส่งเสริมให้สุขภาพดีขึ้น


ประโยชน์ของ Pure Green


  1. อัลฟัลฟ่า มีคลอโรฟีลด์และสารแคโรทีนที่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย จึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ต้องการ การฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบำรุงเซลล์ไข่บำรุงเซลล์ไข่สำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว

  2. วีทกราส คือต้นอ่อนข้าวสาลีนั่นเอง จากการวิเคราะห์ปริมาณสารอาหารในต้นอ่อนข้าวสาลี พบว่า ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ถึง 70% (คลอโรฟีลด์จัดเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ) ซึ่งเป็นสารมีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกับฮีม (heme) สารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง จนได้ชื่อว่าเป็น “เลือดสีเขียว (Green Blood) ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าการรับประทานน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 30 - 100 มล. ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดและลดภาวะโลหิตจางได้อีกด้วย

  3. มอริงก้า (มะรุม) พืชมหัศจรรย์ คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค! มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ และมีโปรตีนสูง (ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า) อีกทั้งยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายได้ เป็นซูเปอร์ฟู้ด ที่คนเตรียมตัวตั้งครรภ์ควรรับประทานเพื่อบำรุงไข่ และช่วยเสริมให้ร่างกายมีความพร้อมและแข็งแรง

วิธีรับประทาน


1 ซอง ทานได้ 2 เดือน (วันละ 1-2 ช้อนชา)


ชงกับน้ำเปล่าดื่มตลอดวัน ผสมลงในน้ำผักผลไม้ปั่น เครื่องดื่มต่างๆ หรือผสมในซุป


หญิง กินทั้งแดง (Pure Red) +เขียว ไข่สวย ระบบเลือดดี เตรียมพร้อมตั้งครรภ์


ชาย กินแดง (Pure Red) ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสเปิร์ม ช่วยให้เสปิร์มแข็งแรง ว่ายเร็ว


ระหว่างวันชง pure red + green ดื่มแทนน้ำนะคะ ให้ได้น้ำวันละ 2 ลิตร( 4 ขวดเล็ก)

ชงแดง 2 ขวด ชงเขียว 2 ขวด กินแทนน้ำเลย ขวดละ 1 ช้อนชา


ข้อควรระวัง:


สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร : การใช้ราก, เปลือกไม้, หรือดอกมะรุม ถูกจัดว่าค่อนข้างไม่ปลอดภัย หากคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ เนื่องจากสารในส่วนของต้นไม้เหล่านี้อาจทำให้มดลูกบีบรัดตัว ซึ่งจะทำให้แท้งบุตรได้ อีกทั้ง ณ ขณะนี้ยังคงขาดข้อมูลที่เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้ส่วนอื่นๆ ของต้นมะรุมกับกลุ่มผู้หญิงมีครรภ์ ดังนั้นคนในกลุ่มดังกล่าวควรเลี่ยงใช้มะรุมเพื่อความปลอดภัย


มะรุมถูกบริโภคเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำนมของมารดาดังที่งานวิจัยบางชิ้นกล่าวไว้ แต่ ณ ขณะนี้ยังคงไม่มีข้อมูลพิสูจน์ว่ามะรุมมีความปลอดภัยต่อผู้ที่ต้องให้นมบุตรจริงหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงควรเลี่ยงการบริโภคมะรุมขณะที่กำลังให้นมบุตรไปจะดีที่สุด


6.นมแพะ


นมแพะมีสารอาหารที่ธรรมชาติมาก เพราะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบ “อะโพไครน์” แบบเดียวกับนมแม่ ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชาติหลุดออกมาเยอะ อุดมด้วยวิตามินหลายชนิดที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมถึงวิตามินดี ที่ช่วยในเรื่องการฝังตัวของตัวอ่อน


โมเลกุลโปรตีนแบบ CPP เป็นโปรตีนอ่อนนุ่มที่ย่อยง่าย ดูดซึมง่ายคล้ายนมแม่ มี “อินนูลิน” ที่เป็นจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้และมดลูก และมีนิวคลีโอไทด์ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ซ้ำยังมี “ทอรีน” สูง ช่วยเรื่องสมองและระบบจอประสาทตาของทารก ดื่มได้โดยไม่อ้วน ช่วงลดระดับคอเลสเตอรอล


นั่นคือเหตุผลบางส่วนที่ครูก้อยดื่มนมแพะแทนนมวัวมาโดยตลอด เอาเป็นว่า...มันมีราคาแพงกว่านมวัวหลายเท่า เพราะประโยชน์มันเยอะกว่านั่นเองค่ะ


ประโยชน์ของนมแพะ


ในน้ำนมแพะมีวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม โดยวิตามินที่พบในน้ำนมแพะได้แก่


  1. วิตามินเอ เป็นวิตามินที่จะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันตาต้อกระจกและเพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค จึงทำให้เชื้อโรคหลุดเข้าไปในร่างกายได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกายมีความแข็งแรง ปลอดจากอาการป่วยได้ดี

  2. วิตามินซี มีส่วนช่วยในการป้องกันไข้หวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายให้หมดไป

  3. วิตามินอี วิตามินที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นผิว จึงสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่ได้ทาครีมกันแดด แต่ได้รับวิตามินอีอย่างเพียงพอ ก็หมดกังวลเรื่องรังสียูวีได้เลย

  4. วิตามินบี 6 วิตามินที่จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี้ได้มากขึ้น จึงสามารถป้องกันเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีและลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

  5. วิตามินดี เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ในการเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ พร้อมเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

วิธีรับประทาน

  • คนวางแผนท้องเราจะดื่มวันละ 2 กระป๋องกันค่ะ

  • เอามาเช๊คกับโปรตีน ferty ได้เลย

  • คนท้องดื่มได้เลยค่ะ ไม่เสี่ยงลูกแพ้ แบบนมวัว

  • คนให้นม หลังคลอด บำรุงได้เลยค่ะ

  • เด็กทานได้ค่า น้องเมดาหย่านมครูก้อยเมื่อไหร่ ครูก้อยก็ให้ทานนมแพะค่ะ แทนนมวัว


ท้ายสุดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่กล่าวมา เป็นสินค้าของครูก้อยเองค่ะ มีความปลอดภัย และมีคุณประโยชน์ที่เหมาะสมในคุณแม่หรือว่าที่คุณแม่แต่ละคนอยู่ สิ่งสำคัญต้องดูให้ดีนะคะ เพราะอาจมีของลอกเลียนแบบได้ หากใครสนใจสามารถทักเข้ามาได้ที่ครูก้อยโดยตรงจะดีกว่าค่ะ


บทความที่น่าสนใจ



ดู 1,435 ครั้ง0 ความคิดเห็น
ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page